อัจฉริยะจอมหื่น อันโตนิโอ คาสซาโน่ มีเซ็กซ์กับสาว 700 คน
ลืมความบ้าบอเพี้ยนๆ บ๊องๆ ของ มาริโอ บาโลเตลลี่ ไปเลย เมื่อได้เจอกับกองหน้าอารมณ์ศิลปินอย่าง อันโตนิโอ คาสซาโน่ หัวหอกเลือดมะกะโรนี ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่สร้างปัญหาได้ตลอดเวลา และสร้างวีรกรรมเอาไว้มากมายในช่วงที่ยังเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
“คาสซ่า” ได้ชื่อว่าเป็นนักเตะเจ้าอารมณ์ จุดเดือดต่ำ และนี่คือปัญหาที่ยากจะแก้ไขได้ นอกจากนี้เจ้าตัวยังได้ชื่อว่าเป็นเพลย์บอยตัวท็อปๆ ของวงการลูกหนังโลกเลยทีเดียว โดย คาสซาโน่ นิยมชมชอบเหลือเกินในเรื่องเซ็กซ์ และการหม่ำอาหารแบบไม่แคร์อาชีพตัวเองซึ่งสิ่งเหล่าเขาก็รู้ทั้งรู้ว่าจะก่อให้เกิดปัญหา แต่ก็ไม่สนใจ
คาสซาโน่ เคยออกมาคุยโวว่าเคยมีโอกาสได้เปิดศึกสงครามใต้สะดือกันอิสตรีมากกว่า 600-700 คน รวมไปถึงสาวในระดับเซเลบริตี้อีกราวๆ 20 คน ในช่วงวัยฉกรรจ์ที่ต้องการระบายความคลั่งประมาณอายุ 25 ปี แถมยังกล้าประกาศเหตุผลที่มักเล่นเสียวบ่อยๆ เพราะคิดว่าฟอร์มการเล่นของตัวเองจะสุดยอดเกินห้ามใจเมื่อได้เสพสมบ่มิสมแล้ว
ตอนที่ย้ายไปทำมาหารับประทานที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ อดีตดาวยิงเจ้าของฉายา “ปีเตอร์แพน” ใช้ชีวิตแบบไร้สาระ รวมทั้งแรงปรารถนา 2 สิ่งกับการมีไลฟ์สไตล์แบบเพลย์บอย นำไปสู่ช่วงเวลาที่ตกต่ำสุดขีดของเขา
คาสซาโน่ เกิดในครอบครัวยากจนที่เมืองบารี่ โดยเขาได้รับการเลี้ยงดูจากแม่เพียงลำพังหลังจากที่พ่อบังเกิดเกล้าทอดทิ้งพวกเขาไปอย่างไม่ใยดี เขาเล่นฟุตบอลตามท้องถนนอยู่ในระแวกที่แสนลำเค็ญตั้งแต่ยังวัยรุ่น ก่อนจะถูกดึงตัวไปฝึกปรือฝีเท้ากับ บารี่ ด้วยฝีเท้าที่เก่งจัดจ้านเกินวัยทำให้เขาเลื่อนชั้นขึ้นไปติดทีมชุดใหญ่ในปี 1999 และไม่นานนักชื่อของ “คาสซ่า” ก็ได้รับการกล่าวขวัญในวงการลูกหนังมะกะโรนี
หนึ่งในเกมกัลโช่ เซเรีย อา ครั้งแรกของเขาก็คือการพบกับ อินเตอร์ มิลาน โดยไอ้หนุ่มวัย 17 ปี โชว์ลีลาใช้ข้างเท้าจับบอลจากการโยนยาวกว่า 40 หลา จากนั้นก็กระชากแหวก คริสเตียน ปานุชชี่ และ โลร็องต์ บล็อก ซึ่งเป็น 2 แนวรับระดับตำนาน ก่อนจะตะบันบอลผ่านตัว ฟาบริซิโอ ซาร์รอน เข้าประตูไปอย่างงดงาม นั่นทำให้เขาดังระเบิดเป็นพลุแตก
คาสซาโน่ ได้รับฉายากว่า เอล ปิเบ้ เด บารี่ (เด็กหนุ่มจากบารี่) โดยสมญานามนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก ดีเอโก้ มาราโดน่า เทพเจ้าลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ ที่มีฉายาว่า เอล ปิเบ้ เด โอโร่ (เด็กทองคำ) ย้อนไปในปี 2008 ในหนังสืออัตชีวประวัติที่ชื่อว่า “I ll Tell Everything” เผยว่าฟุตบอลมีความสำคัญกับเขามากแค่ไหน โดยเฉพาะในเกมพบ อินเตอร์ ที่ช่วยเซฟชีวิตของเขาจากการเป็นอาชญากร
“ถ้าไม่มีเกมนั้นที่พบกับ อินเตอร์ ผมคงกลายเป็นหัวขโมย หรือมีชีวิตที่เลวร้าย หรือไม่ก็เป็นพวกอันธพาล มีผู้คนมากมายที่ผมรู้จักเข้ามาเกี่ยวพันกับชีวิตแบบนั้น สำหรับเกมนั้นผมได้ฉายแสงแห่งพรสวรรค์ของผมออกมา และมันทำให้ผมมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่”
หลังจากระเบิดฟอร์มสุดยอดกับบารี่แล้ว คาสซาโน่ ได้ยกระดับตัวเองขึ้นอีกเมื่อย้ายไปอยู่กับ โรม่า ในปี 2001 ตอนอายุ 19 ปี ด้วยค่าตัว 26 ล้านปอนด์ (ราว 1,170 ล้านบาท) โดยในเวลานั้นเขากลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก สำหรับผลงานในสนามเขาทำผลงานได้ดี คว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของเซเรีย อา 2 สมัย แต่ก็มีปัญหามากมายเช่นกัน เพราะเขามักมีปัญหากับ ฟาบิโอ คาเปลโล่ เทรนเนอร์ในเวลานั้น หลังจากที่ทิ้งการฝึกซ้อมไปหน้าตาเฉย หลังจากนั้นทั้งคู่ก็มักจะใช้คำพูดหยาบคายใส่กันเป็นประจำ
ในช่วงปี 2003 เกมโคปปา อิตาเลีย ในชิงชนะเลิศพบ เอซี มิลาน, คาสซาโน่ ซึ่งหลังจากโดนไล่ออก เจ้าตัวเกิดอาการน็อตหลุดจนเป็นเหตุให้แสดงสัญลักษณ์รูปเขาปีศาจ (เดวิล ฮอร์น)ใส่กรรมการ ขณะที่นายใหญ่คนถัดมาอย่าง ลุยจิ เดล เนรี่ มาแรงสุดๆ เมื่อจัดการตัด “คาสซ่า” ออกจากทีม แต่ บรูโน่ คอนติ ผู้ที่รับช่วยคุมทีมต่อ ดึงเขากลับมาร่วมทัพ แถมยังมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้ด้วย แต่มันกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้ คาสซาโน่ รู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจมากยิ่งขึ้น
เมื่อ ลูเชียโน่ สปัลเล็ตติ ถูกแต่งตั้งให้กุมบังเหียนในปี 2005 ตอนนั้น คาสซาโน่ กล่าวว่า “นายไม่ใช่โค้ชที่มีนักเตะไร้ประโยชน์อย่างที่นายมีที่อูดิเนเซ่ นี่ไม่ใช่บ้านของนาย มันเป็นบ้านของผม” และหลังจากนั้นเขาก็เริ่มทะเลาะกับทุกๆ คนไปทั่ว
ตลอดฤดูกาล 2005-2006 เขามีปัญหาเรื่องไม่ยอมต่อสัญญาใหม่กับต้นสังกัด แถมยังกล้ามากที่เปิดประเด็นกับ ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ คู่หูกองหน้าเกี่ยวกับเรื่องเงินที่ทั้งคู่ได้รับตอนที่ไปปรากฎตัวในรายการทีวี สำหรับ โรม่า ถึงเวลาที่ต้องพอกันซะที พวกเขาพร้อมเผชิญหน้ากับการเสีย “ปีเตอร์แพน” ไปแบบไม่มีค่าตัวในช่วงซัมเมอร์ และสุดท้าย “จัลโร่รอสซี่” ตัดสินใจขายเขาให้กับ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวเพียง 4.4 ล้านปอนด์ (ราว 198 ล้านบาท) ในเดือนมกราคม 2006
จากจะพูดกันอย่างเป็นกลาง คาสซาโน่ ก้าวเข้าสู่วิถีชีวิตแบบเพลย์บอยเมื่อมาอยู่ในมาดริด เขาเล่นให้ “ราชันชุดขาว” โดยในหนังสืออัตชีวประวัติระบุว่า “ที่มาดริด ผมมีเพื่อนเป็นบริกรในโรงแรม งานของเขาก็คือพาเอาขนมปังอบมาให้ผม 3-4 ชิ้นหลังจากผมมีเซ็กซ์ เขาจะเอาขนมปังอบมาให้ผมทันที ผมจะส่งสาวๆ ไปให้เขา และเขาก็จะแลกเปลี่ยน เขาจะเอาสาวไป และผมก็จะเอาขนมปังมา เซ็กซ์ และกิน เป็นค่ำคืนที่สุดเพอร์เฟกต์”
อย่างไรก็ตามแรงปรารถนาทั้งสองเรื่องนั่นก็คือ เซ็กซ์กับอาหาร ทำให้ชีวิตของเขาตกต่ำ โดย มาดริด เริ่มปรับเงินเขาจากน้ำหนักตัวทุกๆ กรัมที่พุ่งขึ้น “ไอ้หนูจากบารี่” ไม่มีอีกแล้ว ในเวลานั้นเขาได้รับฉายาใหม่ก็คือ เอล กอร์ดิโต (ไอ้อ้วนเตี้ย) หลังจากนั้นหลายๆ อย่างก็เลวร้ายจนไปสู่วิบัติ เมื่อ คาเปลโล่ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ (คู่อริ) ของ คาสซ่า ได้เข้ามาทำงานแทน ฮวน รามอส โลเปซ เซโร่
คาสซาโน่ เปิดเผยเหตุการณ์ว่า “เขาให้ผม กับ โรนัลโด้ (บราซิล) อบอุ่นร่างกายตลอดครึ่งหลังโดยที่ไม่เปลี่ยนเราลงสนาม ตอนเข้าไปในห้องแต่งตัว ผมบอกเขาว่า -นายมันไอ้งี่เง่า นายมันพวกจอมหลอกลวงยิ่งกว่าธนบัตรในเกมเศรษฐีซะอีก-”
การขาดความเคารพที่เขาแสดงต่อ คาเปลโล่ ส่งผลให้เจ้าตัวโดนแบนไปโดยปริยาย จากนั้นนักเตะเริ่มคิดถึงอนาคตอีกครั้งโดยเตรียมจะกลับไปเล่นให้ โรม่า แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยกินเส้นกับ ต๊อตติ และผู้บริหารบางคนของ “หมาป่าเหลืองแดง” ก็ตาม
สุดท้ายเจ้าตัวย้ายไปเล่นกับ ซามพ์โดเรีย ด้วยสัญญายืมตัวก่อนในตอนแรก โดยหลังจากนั้น ราม่อน กัลเดรอน ประธานสโมสรเรอัล มาดริด ในเวลานั้นได้กล่าวถึงทัศนคติของหัวหอกชาวเมืองมะกะโรนีว่า “ไม่รู้จักโตตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา” อย่างไรก็ตาม การแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด หรืออาการขี้หงุดหงิดตามมาตรฐานของ คาสซาโน่ ก็ยังคงมีเหมือนเดิม แต่เจ้าตัวทำผลงานได้ดีกับ “ลา ซามพ์” และได้สัญญาถาวร 3 ปี
กระนั้นอาชีพพ่อค้าแข้งของ คาสซ่า กับแต่ละสโมสรก็มักจะจบลงแบบไม่น่าอภิรมย์ ตอนนั้นเจ้าตัวมีปัญหาทะเลาะกับ ริคคาร์โด้ การ์โรเน่ ประธานสโมสร หลังจากที่ปฏิเสธจะเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัลที่จัดขึ้นในตอนกลางคืน โดย การ์โรเน่ พยายามที่จะยกเลิกสัญญาโดยให้เห็นผลเกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างร้ายแรง แต่ศาลสั่งให้เขาต้องจ่ายเงินให้นักเตะสำหรับการฉีกสัญญาครั้งนี้
การ์โรเน่ กล่าวว่า “ผมเสียใจมากๆ เพราะถ้า คาสซาโน่ ไม่มีปัญหาเรื่องอารมณ์ และถ้าเขาไม่เป็นคนรักสนุกรวมทั้งไม่รู้จักควบคุมตัวเอง เขาอาจจะเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกไปแล้ว”
ผ่านเข้ามาสู่ปี 2010 คาสซาโน่ มีโอกาสได้ย้ายมาเล่นกับ เอซี มิลาน สโมสรที่ทำให้เขารู้จักลดละเลิกความบ้าระห่ำของตัวเอง โดยในช่วงเวลาที่ค้าแข้งกับ “ปีศาจแดงดำ” เขาเคยเจอกับประสบการณ์เกือบตายมาแล้วซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้าตัวเลย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ลงมาเล่นเป็นตัวสำรองในเกมชนะ โรม่า 3-2 คาสซาโน่ เริ่มบ่นว่าหายใจติดๆ ขัดๆ ขณะอยู่บนรถบัสสโมสรเพื่อเดินทางไปสนามบิน เขามีอาการหน้ามืดและพูดไม่คล่อง โดยนักเตะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลซึ่งแพทย์ทำการตรวจวินิจฉัยแล้วพบว่าเขามีภาวะสมองขาดเลือด
คาสซาโน่ เผยว่า “เรามีการโต้เถียงกันเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนที่ผมจะยอมตกลงไปโรงพยาบาล และนั่นก็ทำให้ผมเริ่มมีปัญหาในการพูด จากนั้นก็คิดเกี่ยวกับการได้พบหน้าลูกชายของผมอีกครั้ง” หลังจากนั้นอีก 4 วันเขาก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ จากนั้นนักเตะก็กลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเดือนเมษายน 2012 ซึ่งเกือบ 6 เดือนหลังเกิดเหตุดังกล่าว “บอกตามตรงเลยนะผมกลัวตายจริงๆ โดยเฉพาะใช่วงระหว่างที่เกิดอาการป่วยก่อนที่จะทำการผ่าตัด”
หลังจากนั้น ดาวเตะชาวอิตาเลียน มีโอกาสได้ใช้เวลาค้าแข้งกับสโมสรอย่าง อินเตอร์ มิลาน, ปาร์ม่า, ซามพ์โดเรีย (อีกครั้ง) และ เฮลลาส เวโรน่า ก่อนจะประกาศแขวสตั๊ด แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ โดยเขาเปลี่ยนใจถึง 5 ครั้ง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเลิกเล่นอย่างจริงจังในเดือนกันยายน 2017
เวโรน่า เป็นสโมสรสุดท้ายซึ่งเขาไม่เคยได้ลงสนามแม้แต่เกมเดียว โดย คาสซาโน่ กล่าวว่า “บอกจากใจว่ามันไม่มีความสุขเหมือนมีไฟพลุ่งพล่านตอนอยู่ที่นั่นเลย ก็เหมือนเวลาที่คุณได้เห็นผู้หญิงคนนึง และเธอก็ไม่ได้มีเสน่ห์น่าดึงดูดใจคุณแม้แต่นิดเดียว ซึ่งนั่นทำให้คุณเลือกที่จะไปดีกว่า”
ปัจจุบัน คาสซาโน่ อายุ 36 ปีแล้ว นิสัยเพลย์บอยของเขาไม่มีอีกต่อไป นับตั้งแต่ปี 2010 เจ้าตัวตัดสินใจแต่งงานกับ คาโรลิน่า มาร์เชียลิส นักกีฬาโปโลหญิง และมีลูกชายสองคนชื่อ คริสโตเฟอร์ กับ ลิโอเนล เมื่อเดือนสิงหาคม 2018 เขาตัดสินใจกลืนน้ำลายอีกครั้งด้วยการเล่นให้ ยูดี อีบิซ่า ซึ่งเล่นในระดับดิวิชั่น 3 วงการฟุตบอลสเปน ซึ่งสุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่
ตลอดอาชีพนักเตะของ คาสซาโน่ เจ้าตัวได้ให้ความเห็นว่า “ผมเป็นคนมีปัญหา เพราะผมไม่เคยรู้เลยว่าอารมณ์ของผมมันจะปะทุขึ้นตอนไหน ผมสามารถเล่นในดาวดวงอื่นได้สบายๆ แต่ผมมีปัญหาแบบนี้ซึ่งผมไม่ชอบการฝึกซ้อม และอยากกินอะไรก็ได้ที่ผมอยากกิน สุดท้ายผมก็ทำลายชีวิตตัวเอง”
“ผมได้มีโอกาสเล่นกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหลายทีมอย่าง เรอัล มาดริด, อินเตอร์ และ เอซี มิลาน ถ้าผมตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง ผมสามารถเล่นบนดาวอังคารยังได้เลย ผมก็เหมือนกับ ลิโอเนล เมสซี่, เนย์มาร์ และนักเตะอีก 2-3 คน” คาสซาโน่ ระบุ
นอกจากนี้ อดีตดาวยิงจอมพเนจร เผยว่าเคยปฏิเสธ ยูเวนตุส ถึง 4 ครั้งในช่วงที่เป็นนักเตะฟรีเอเยนต์หลังฉีกสัญญากับปาร์ม่า และทุกวันนี้ก็ไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยที่ทำแบบนั้น เพราะ ยูเว่ ไม่ใช่สโมสรที่ตนอยากร่วมงานด้วย “ผมไม่เคยสนใจยูเว่เลย และผมเคยปฏิเสธพวกเขามาแล้ว 4 ครั้ง ถามมาผมเสียใจไหม แน่นอนไม่”
นี่เป็นเพียงบางส่วนที่ คาสซาโน่ เปิดเผยชีวิตเบื้องลึกของเขา และหากมองดูเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ รวมทั้งพรสวรรค์ของเขา อาจจะทำให้เจ้าตัวไปได้ไกลกว่านี้ในวงการลูกหนัง แต่น่าเสียดายการให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาต้องจบอาชีพแบบไม่สวยหรูเท่าไหร่
มุมแสดงทรรศนะ