ข่าวพรีเมียร์ลีก อังกฤษข่าวฟุตบอล

เก็บตกประเด็นหลังเกม ปีศาจแดง โชว์ฟอร์มแจ่มไล่ยำ สิงห์บลูส์ 4-1

ufasexygame


การจัดทัพ

เอริค เทน ฮาก กุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยึดระบบ 4-2-3-1 เป็นนัดที่ 32 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ใช้ 11 ตัวจริงชุดเดียวกับเกมลีกที่บุกชนะ บอร์นมัธ 0-1 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

มาร์คัส แรชฟอร์ด กลับมามีชื่อเป็นตัวสำรอง หลังก่อนหน้านี้พลาดช่วยทีมไปสองนัดหลัง เนื่องจากมีอาการป่วย

ฝั่ง ”สิงห์บลูส์” ภายใต้การคุมทัพชั่วคราวของ แฟรงค์ แลมพาร์ด เปลี่ยนผู้เล่น 3 คนใน 11 คนแรก จากเกม พรีเมียร์ลีก ที่บุกไปพ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ติอาโก้ ซิลวา, รูเบน ลอฟตัส-ชีค และ ราฮีม สเตอร์ลิง ถูกดร็อป โดยสองรายแรกมีชื่อเป็นสำรอง ส่วนรายหลังไม่มีชื่ออยู่ในทีม – คาร์นีย์ ชุควูเอเมก้า, มิไคโล มูดริค และ โนนี่ มาดูเอเก้ สตาร์ทตัวจริงแทน ในระบบ 4-3-3

สถิติระบุว่า ค่าเฉลี่ยอายุผู้เล่น ”สิงโตน้ำเงินคราม” ที่สตาร์ทตัวจริงในนัดนี้ อยู่ที่ วัย 23 ปี กับอีก 238 วัน นับว่าเป็นค่าเฉลี่ยอายุที่น้อยสุดของ เชลซี สำหรับการออกสตาร์ท 11 คนแรกในยุค พรีเมียร์ลีก

Erik ten Hag, Frank Lampard

สิงห์ไม่ทันกินน้ำ

เอาจริงว่าๆ เริ่มเกมมา 6 นาทีแรก นักเตะทั้งสองฝ่ายได้สัมผัสบอลกันครบแล้วหรือยัง ก็ไม่แน่ใจ แต่นั่นคือเวลาที่ เชลซี เสียประตูแรกอย่างรวดเร็วในเกมนี้ ให้กับลูกโขกฟรีคิกของ กาเซมิโร่ (คริสเตียน เอริคเซ่น เปิด)

เมื่อเสียเร็วแบบนี้ กระบวนท่าที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ติดตั้งให้ทีมมา การหวังว่าจะประวิงสกอร์ 0-0 ให้นานที่สุดแล้วฉวยโอกาสจบคมๆ เบียดชนะที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด สัก 1-0 หรือ 2-1 จึงพังครืนลงในเพียง 6 นาที

สำคัญคือ นี่คืออีกครั้งแล้วที่ เชลซี เสียประตูเร็วในแค่ 10 นาทีแรก หรือสิบนาทีกว่าๆ

พบว่ามีถึง 4 จาก 5 เกม พรีเมียร์ลีก หลังสุด ที่ เชลซี โดนเจาะเร็ว

  • แพ้ อาร์เซน่อล 1-3 : มาร์ติน โอเดการ์ด น.18

    เสมอ ฟอเรสต์ 2-2 : ไทโว่ โอโวนิยี่ น.13

    แพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-1 : ฮูเลียน อัลวาเรซ น.12

    และแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-4 : กาเซมิโร่ น.6

ซึ่งเมื่อ “คางเปราะ” แบบนี้ ก็หมายถึงการที่นักเตะ เชลซี ต้องเหนื่อยเป็นพิเศษในแต่ละเกม และโดยเฉพาะว่า ก็กลับมาคว้าแต้มยากด้วยในแต่ละนัด

348995207_934066067872801_448

สวัสดี ”ยูซีแอล”

แมนฯ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมสุดท้ายที่ซิวตั๋วไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2023/2024 ต่อจาก นิวคาสเซิ่ล, อาร์เซนอล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

อันเป็นการดับฝัน ลิเวอร์พูล ศัตรูที่รักของ ปีศาจแดง

นอกจากนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังแซง นิวคาสเซิ่ล ขึ้นไปรั้งอันดับ 3 มีแต้มเหนือกว่า ”สาลิกาดง” 2 แต้ม ซึ่งนัดสุดท้ายของฤดูกาล (วันอาทิตย์นี้) หากพวกเขาคว้าชัยเหนือ ฟูแล่ม ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้ ก็จะคอนเฟิร์มจบอันดับ 3 ทันที

นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับฤดูกาลแรกของ เอริค เทน ฮาก

พวกเขาคว้าแชมป์ ลีก คัพ มาแล้ว ในฤดูกาลนี้ แถมมีโอกาสสูงที่จะจบอันดับ 3 และจะทำศึกผ่าเมืองกับ แมนฯ ซิตี้ ในเวอร์ชั่น เอฟเอ คัพ สัปดาห์หน้า

b0af0676-7954-4183-b939-2dc96

กาเซมีโร่ พระเอกของงาน

กองกลางทีมชาติ บราซิล วัย 31 ปี โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในนัดนี้ เขาโดดเด่นทั้งเกมรับ และ เกมรุก เขาเป็นคนโขกให้ทีมออกนำ 1-0 และมีส่วนช่วยสำคัญให้ทีมได้ประตูขึ้นนำ 2-0

สถิติระบุว่า เขาจ่ายบอลแบบได้-เสียให้เพื่อนมีโอกาสลุ้นทำประตู (1 ครั้ง), เคลียร์บอล (1), บล็อคลูกยิง (1) และ แท็คเกิ้ล (5)

“เขาเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ ถือเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีจริง ๆ” – เทน ฮาก พูดถึง กาเซมีโร่ หลังเกม

”เขาปรับตัวเข้ากับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกได้อย่างยอดเยี่ยม เขาพลาดช่วยทีมไปหลายเกมเหมือนกัน และเราสังเกตเห็นว่า เมื่อไม่มีเขาอยู่ในทีม รูปเกมของเราก็จะแตกต่างออกไป”

”คุณสามารถมองเห็นได้เลยว่าเขามีความสำคัญแค่ไหน ในสัปดาห์นี้เขาซัดไปสองประตู (ใส่ บอร์นมัธ & เชลซี) ประตูแรกของเกมนั้นสำคัญเสมอ เขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม และเราก็มีแฮปปี้สุด ๆ”

348568949_1001325941033905_38

จบไม่คมทำพัง…รอบที่ 501

ชัดเจนมากว่า เชลซี มีโอกาสทั้งขึ้นนำก่อน 1-0 และไล่ตีเสมอ 1-1 ไม่ใช่การตามหลัง 0-4 แล้วค่อยตีไข่แตกไล่มาให้ “แพ้น้อยหน่อย” อย่างที่เป็นจริง

เชลซี ควรขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 4 จากจังหวะที่ ลูอิส ฮอลล์ ถวายพานให้ มิไคโล มูดริค ยิงโล่งๆ สบายๆ แบบที่ไม่น่าพลาดด้วยประการทั้งปวง — ผล : ตั้งหน้าเท้าผิดองศา กดเบี่ยงเสาออกไปเอง และสองนาทีให้หลัง กาเซมิโร่ โขกให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำ 1-0

และ เชลซี ก็ควรตีเสมอ 1-1 ในนาที 45+1 คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ สบช่องกดเน้นๆ ในจุดอันตราย  — ผล : บอลพุ่งเฉี่ยวเสาอย่างหวุดหวิด และอีกแวบเดียวถัดมา 45+5 มาร์กซิยาล ก็บวกสกอร์ 2-0 ให้เจ้าถิ่น

สองจังหวะนี้ สำคัญในระดับเปลี่ยนเกมได้

อ้อ คงไม่ต้องพูดถึงกอง (ไว้ข้าง) หน้าอย่าง ไค ฮาแวร์ตซ์ ก็ได้ เมื่อชัดเจนไม่รู้จะชัดเจนอย่างไรอีกว่า “เข็นไม่ขึ้น” หน้าเป้าไม่ใช่จุดที่แข้งเยอรมันสามารถเล่นได้

หรือนี่จะเป็นแผนการอันแยบยลของ แลมพาร์ด ให้กุนซือใหม่ที่จะเข้ามา ได้เห็นว่า อย่าคิดจะพึ่งพา ฮาแวร์ตซ์ อีกต่อไป?!?

lcimg-4d5d6fb2-b7b5-4626-9bb7

70 ล้านหรือ 70 บาท

อย่าหาว่าใจร้าย ที่ในการตัดเกรด เราให้แค่ 0/10 เพราะสื่อนอกอย่าง football.london หรืออีกบางเจ้า ก็ตัดที่ 3/10 เท่านั้น

เพราะนี่คือ เวสลี่ย์ โฟฟาน่า เซนเตอร์แบ็กราคา 70 ล้านปอนด์ ใน 90 นาทีที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

  • น.6 ตามเข้าประกบ กาเซมิโร่ ไม่ทันจนเสียประตูแรกเร็ว

    น.45+5 โดนเจาะพร้อมกันทั้งแผง เสร็จ อองโตนี่ มาร์กซิยาล เช็คบิล 2-0

    น.73 โดน บรูโน่ แฟร์นันเดส จิ้มลอดขา ก่อน โฟฟาน่า เอาคืนด้วยการเตะคว่ำ เสียจุดโทษลูก 3-0

    น.78 จ่ายเปิดเกมหน้าประตูไม่ตรงเพื่อน โดนฉกและโดน มาร์คัส แรชฟอร์ด ลุยผ่านไปซัดเม็ด 4-0

นี่แค่ช็อตที่เสียประตู ยังมีจังหวะเล่นพลาดกว่านี้ ที่ไม่ได้ส่งผลต่อสกอร์เพิ่มเติม …ฟอร์มแบบนี้ เล่นเอา แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เขินเลย

Bruno Fernandes, Wesley Fofana

จ่อทาบสถิติ

แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าชัยที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในฤดูกาลนี้มาแล้ว 26 เกมทุกรายการ ซึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสร มีเพียงฤดูกาล 2002/2003 เท่านั้น ที่เก็บชัยได้มากกว่า (27 เกม)

เกมพรีเมียร์ลีกนัดสุดท้ายของฤดูกาลวันอาทิตย์นี้ พวกเขามีโอกาสทาบสถิติของตัวเอง โดยจะเปิดบ้านเจอกับ ฟูแล่ม

สถิติฤดูกาลที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าชัยในบ้านได้มากสุด (ในฤดูกาลเดียว)

  • 2002/03 – 27 เกม
  • 2022/23 – 26
  • 2010/11 – 26
  • 2007/08 – 25
Anthony Martial, Marcus Rashford, Jadon Sancho

พอเถอะแลมพ์ส

นี่ขนาดว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ปรานีแล้ว จากโอกาสจบทั้งหมด 18 ครั้ง / ตรงกรอบ 9 / เคปา อาร์ริซาบาลาก้า เซฟช่วยทีมไว้ 4-5 หน / ชนเสา 1 / ชนคาน 1 / และยังมีจังหวะไม่ลงล็อก จ่ายผิดต่อบอลพลาดในพื้นที่สุดท้ายอีก 4-5 รอบ

เชลซี ก็ยังแพ้ยับ 1-4

แพ้ 8 เสมอ 1 ชนะ 1 (รวมทุกถ้วย) นี่คือ เชลซี ของ แลมพาร์ด 

มันกลายเป็นว่า เชลซี ยุค แลมพาร์ด 2.0 นี่ “แพ้เป็นเรื่องธรรมชาติ” ไปแล้ว และคู่ควรกับการจบครึ่งล่างของตาราง พรีเมียร์ลีก อย่างแท้จริง

แพ้เยอะจนแฟนเชลซี เล่นตัวเอง พร้อมใจกันตะโกนในระหว่างเกมล่าสุดนี้ว่า “พวกแก (แมนฯ ยูไนเต็ด) ไม่ได้เล่นดี เราแพ้ทุกเกมอยู่แล้วโว้ย!” (“You’re nothing special, we lose every week.”)

เอาเป็นว่าไม่ต้องรอถึงนัดปิดซีซั่นวันอาทิตย์ ก็สรุปให้เลยแล้วกันว่า นี่คือ เชลซี ที่ “ดูไม่จืด” ที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก

และใครก็ตามที่มีอำนาจตัดสินใจ ต่อให้ซีซั่นหน้าจะชักเข้าชักออก เด้งกุนซือใหม่ใช้กุนซือเก่าสักกี่สิบคน ก็อย่าได้คิดดึง แลมพาร์ด กลับมาคุมรอบ 3 อีกเป็นอันขาด!

Frank Lampard

มุมแสดงทรรศนะ