ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์สมัยที่ 6 ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก
ลิเวอร์พูล ผงาดครองแชมป์ถ้วยใบใหญ่ของสโมสรยุโรปได้สำเร็จ หลังไล่บดเอาชนะ สเปอร์ส ที่เข้าชิงสมัยแรกได้แบบสนุก 2-0 ส่งผลให้ “หงส์แดง” ซิวแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 6 ขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ล้างอาถรรพ์ได้สำเร็จหลัง 6 ครั้งล่าสุดในการชิงบอลถ้วยไม่ชนะเลย และเป็นการคุมทีมคว้าถ้วย “บิ๊กเอียร์” ได้เป็นสมัยแรกหลังเข้าชิงเป็นครั้งที่ 3 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา
สนาม : ว่านต๋า เมโตรโปลิตาโน่, มาดริด, สเปน (สนามกลาง)
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ พา สเปอร์ส เข้าชิงชนะเลิศถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร เกมนี้ข่าวดีคือได้ แฮร์รี่ เคน หัวหอกตัวเก่งที่บาดเจ็บไปหลายสัปดาห์กลับมาลงสนามเป็นตัวจริง ขณะที่ ลูคัส มูร่า ฮีโร่จากนัดตัดเชือกเกมที่สอง ต้องหลุดไปเป็นสำรอง โดยจะประสานงานร่วมกับ คริสเตียน เอริคเซ่น, เดเล่ อัลลี่ และซน ฮึง-มิน
ส่วนทางด้าน “หงส์แดง” แชมป์รายการนี้ 5 สมัย นำโดย เจอร์เก้น คล็อปป์ พาลิเวอร์พูลเข้าชิงฯเป็นหนที่สองติดต่อกัน เกมนี้จะขาดแค่ นาบี เกอิต้า ห้องเครื่องตัวเก่งที่บาดเจ็บ แต่ทีมได้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ หายเจ็บกลับมาลงตัวจริงล่าตาข่ายร่วมกับ ซาดิโอ มาเน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์
ก่อนเกมได้มีการยืนไว้อาลัยให้กับ โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส อดีตแข้งสโมสร เซบีย่า และอาร์เซน่อล ที่ได้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งแข้งวัย 35 ปี ก็เคยเล่นให้สโมสร แอตเลติโก มาดริด ซึ่งเป็นเจ้าของสนามแห่งนี้
ออกสตาร์ทเกมมาได้แค่ 22 วินาที แฟนหงส์แดงได้เฮก่อนเลย เมื่อผู้ตัดสินเป่าให้จุดโทษแก่ ลิเวอร์พูล หลัง ซาดิโอ มาเน่ เปิดด้วยขวาไปโดนแขน มุสซ่า ซิสโซโก้ ในเขตโทษ ก่อนที่ ดาเมียร์ สโคมิน่า เชิ้ตดำสโลวาเกียไม่ลังเลชี้ที่จุดโทษทันที และเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ซัดอย่างมั่นใจส่งบอลพุ่งตรงตาข่าย หมดสิทธิ์ที่ อูโก้ โยริส จะป้องกัน ลิเวอร์พูล 1 สเปอร์ส 0
สเปอร์ส หลังเสียประตูไปเร็ว ก็มีโอกาสตอบโต้บ้าง นาที 10 มุสซ่า ซิสโซโก้ เกือบได้แก้ตัว เมื่อตั้งป้อมซัดนอกกรอบกว่า 20 หลา แต่บอลพุ่งเหินคานออกไป
เกมสู้กันสนุก นาที 17 “หงส์แดง” เกือบได้ลุ้นเม็ดที่สอง เมื่อ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ส่องไกลนอกกรอบด้วยขวาบอลพุ่งแรงเฉียดเสาสองออกไปแบบได้เสียว
แต่ถัดมาไม่ถึงสองนาที สเปอร์ส โต้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คริสเตียน เอริคเซ่น จ่ายบอลคิลเลอร์พาสให้ ซน ฮึง มิน หลุดเข้าไปจะเข้าไปในเขตโทษได้แล้ว แต่ดีที่ เทรนท์ อาร์โนลด์ ยังลงมาเร็วก่อนสปีดลงมาขวางบอลไม่ให้ซนผ่านเข้าไป
นาที 20 โอกาสของ “เดอะ เร้ด” มีเยอะกว่า คราวนี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้ลองซัดไกลก่อนบอลจะไปแฉลบแข้งสเปอร์สออกหลังได้เตะมุม
เกมเข้าสู่นาที 39 โอกาสของ “หงส์แดง” มีอีกครั้ง คราวนี้เป็น แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่พาบอลขึ้นมาก่อนสับไกด้วยซ้ายข้างถนัดบอลพุ่งเข้ากรอบแต่ยังไปตรงตัว โยริส ที่ปัดบอลข้ามคานไปได้
และจากจังหวะเตะมุมต่อมา ซน เคลียร์ไปเข้าทาง ซาลาห์ ซัดนอกกรอบเหินคานออกไป ก่อนอีก 3 นาทีต่อมา ดาวเตะทีมชาติอียิปต์จะวอลเลย์นอกกรอบอีกครั้งแต่คราวนี้ไปแฉลบผู้เล่นสเปอร์สออกหลังไป
ช่วงทดเจ็บ นาที 45+1 สเปอร์ส ได้ลุ้นยิงบ้างจาก คริสเตียน เอริคเซ่น ที่ตั้งป้อมหน้าหัวกระโหลก แต่บอลยังเหินโด่งออกไปแบบไม่ได้ลุ้น
จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ออกนำ สเปอร์ส 1-0 จากลูกยิงจุดโทษของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในนาทีที่ 2
ครึ่งหลัง ทั้งสองทีมยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นแต่อย่างใด นาที 53 ฟาบินโญ่ ได้โอกาสลองยิงนอกกรอบ แต่บอลยังไปแฉลบผู้เล่นสเปอร์ส ก่อนจะไปเข้ามือ อูโก้ โยริส
อีกนาทีต่อมา “หงส์แดง” ก็ยังมีโอกาสได้ลุ้นมากกว่า คราวนี้ เป็น โม ซาลาห์ ที่เลี้ยงจี้เข้ากรอบก่อนจะหักเข้าซ้ายแล้วซัดไปติดขา แยน แฟร์ต็องเก้น ที่ขวางไว้ได้
นาที 57 เป็นโอกาสของทางทัพไก่เดือยทองบ้าง บอลจาก คริสเตียน เอริคเซ่น ที่เปิดเตะมุมมาเสาสอง ก่อนที่ แยน แฟร์ต็องเก้น จะขึ้นโขกส่งบอลย้อนไปเสาไกลแต่บอลหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียดาย
นาที 58 ลิเวอร์พูล ต้องเปลี่ยนตัวเป็นคนแรก เมื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ ถอดเอา โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ออกแล้วส่ง ดิว็อค โอริกี้ ลงเล่นแทน
ก่อน นาที 62 คล็อปป์ จะเปลี่ยนตัวคนที่สองส่ง เจมส์ มิลเนอร์ ลงไปขับเคลื่อนเกมตรงกลางแทน จอร์จินโย่ ไวนัลดุม
นาที 66 สเปอร์ส เปลี่ยนตัวเป็นคนแรกบ้าง คราวนี้ส่ง ลูกัส มูร่า ลงไปเล่นแทน แฮร์รี่ วิงค์ส
ยังเป็น “หงส์แดง” ที่ลูกได้เสียวมีมากกว่า นาที 69 เกือบได้ลูกที่สองจนได้ เมื่อ มาเน่ ใช้ความสามารถเฉพาะตัวลากบอลตัดเข้ากลางก่อนฝากให้ ซาลาห์ ก่อนจะดีดบอลต่อให้ เจมส์ มิลเนอร์ กดด้วยซ้ายบอลพุ่งเลียดเฉียดเสาแรกออกไป ชนิดที่ อูโก้ โยริส ได้แต่มองแล้ว
สเปอร์ส กว่าจะได้ลุ้นยิงเข้ากรอบหนแรกต้องรอถึง นาที 73 บอลโต้กลับเร็วมาถึง ซน ฮึง มิน ก่อนสตาร์ทีมชาติเกาหลีใต้จะไหลออกซ้ายให้ เดเล่ อัลลี่ ปั่นด้วยขวาก่อนบอลจะย้อยไปเข้ามือ อลีสซง เบ็คเกอร์
ยิ่งเวลาเหลือน้อย ยิ่งบีบหัวใจแฟนบอลไก่ นาที 78 คีแรน ทริปเปียร์ เปิดมาหน้ากรอบให้ เดเล่ อัลลี่ ขึ้นโขกข้ามคาน อีกสองนาทีต่อมา แฟนสเปอร์สเกือบได้เฮสมใจ เมื่อ ซน ฮึง มิน ตะบันไกลเต็มข้อบอลพุ่งจน อลีสซง ต้องพุ่งทุบออกไป แต่บอลยังไม่พ้นอันตราย แดนนี่ โรส เก็บได้ทางซ้ายตบเข้ากลางให้ ลูกัส มูร่า ยิงเร็วแต่บอลไม่ห่างตัวนายด่านของหงส์แดงรับไว้ได้ไม่พลาด
นาที 84 คราวนี้ทัพไก่ได้ลุ้นอีกหน คริสเตียน เอริคเซ่น ปั่นฟรีคิกทางด้ายซ้ายบอลพุ่งจะเสียบเสาสองอยู่แล้วแต่ อลีสซง ยังบินปัดปลายนิ้วออกไป
เมื่อทำไม่ได้ นาที 87 แฟนหงส์แดงมาเฮอย่างสมใจ เมื่อได้ประตูหนีเป็น 2-0 จากจังหวะบอลชุลมุนหน้ากรอบ ก่อนที่ มาติป จะป้ายออกข้างให้ ดิว็อค โอริกี้ ที่ยืนคนเดียวง้างเท้ายิงผ่านมือ อูโก้ โยริส พุ่งเสียบมุมเข้าไปอย่างสวยงาม
ช่วงทดเจ็บ สเปอร์ส บุกอย่างหนัก ทั้งลูกยิงของ ซน ฮึง มิน และแฮร์รี่ เคน แต่บอลก็ไม่ผ่านมือ อลีสซง ที่วันนี้เซฟอุตลุดก่อนจบเกม ลิเวอร์พูล เอาชนะ สเปอร์ส 2-0 คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 6 ได้สำเร็จ
รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม
สเปอร์ส (4-2-3-1) : อูโก้ โยริส – คีแรน ทริปเปียร์, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, แยน แฟร์ต็องเก้น, แดนนี่ โรส – มุสซ่า ซิสโซโก้ (เอริค ดายเออร์ น.74), แฮร์รี่ วิงค์ส (ลูกัส มูร่า น.66) – คริสเตียน เอริคเซ่น, เดเล่ อัลลี่ (เฟร์นานโด ยอเรนเต้ น.81), ซน ฮึง-มิน – แฮร์รี่ เคน
เทรนเนอร์ : เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลีสซง เบ็คเกอร์ – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติป, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม (เจมส์ มิลเนอร์ น.62) – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ (ดิว็อค โอริกี้ น.58), ซาดิโอ มาเน่ (โจ โกเมซ น.90)
เทรนเนอร์ : เจอร์เก้น คล็อปป์
ผู้ตัดสิน : ดาเมียร์ สโคมิน่า (สโลวาเกีย)
มุมแสดงทรรศนะ