วัดกันไปเลยแต่ละตำแหน่งใครดีกว่ากัน ลิเวอร์พูล ปะทะ แมนยู
ศึก “แดงเดือด” ที่คอลูกหนังทั่วโลกเฝ้ารอในที่สุดก็มาถึงจนได้ โดย ลิเวอร์พูล มีคิวเปิดรังแอนฟิลด์ รับมือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้ผลงานของ “ปีศาจแดง” จะลุ่มๆ ดอนๆ ก็ตาม แต่ด้วยเกมแห่งศักดิ์ศรี งานนี้คงไม่มีการยอมให้ “หงส์แดง” สยายปีกได้ง่ายๆ
แมนฯ ยูฯ ครอบครองความเป็นเจ้าลูกหนังเมืองผู้ดีภายใต้การบริหารงานดีมีคุณภาพของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ “ป๋าใหญ่” สามารถนำทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 13 สมัย ที่สำคัญตลอด 26 ปีที่อยู่ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนคุม “ผีแดง” ครั้งแรกก็คือการล้มอำนาจ “เดอะ เร้ดส์” ด้วยการครองแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 20 สมัย แซงหน้าคู่อริตลอดที่ทำได้แค่ 18 สมัยไปเรียบร้อยแล้ว
ในปัจจุบันสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปหลังจากที่ “เซอร์เฟอร์กี้” ลงจากตำแหน่ง และภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ สโมสรทำผลงานค่อยๆ สาละวันเตี้ยลง ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ที่มีเจอร์เก้น คล็อปป์ กุมบังเหียนค่อยๆ ฟอร์มแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่าเกม “แดงเดือด” ไม่ว่าทั้งสองทีมจะอยู่ในสถานการณ์ที่ดีหรือแย่ แต่เมื่อพวกเขามาปะทะแข้งกัน งานนี้มีแต่ไฟลุกทั่วสนามแน่ๆ แต่ทีมไหนจะสมหวัง คงต้องขึ้นอยู่กับนักเตะที่ทั้งสองฝั่งลงสนาม และแท็กติคจากมันสมองของ 2 กุนซือแห่งยุคมิลเลนเนียม
ผู้รักษาประตู
ลิเวอร์พูล
ถ้าหาก “หงส์แดง” ยังมีนายทวารชื่อลอริส คาริอุส แน่นอนว่าสาวก “เดอะ ค็อป” คงประสาทหลอนกับเหตุการณ์ที่แสนเจ็บปวดที่กรุงเคียฟ ในนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จะเกิดขึ้นในเกม “แดงเดือด” อีกครั้ง อย่างไรก็ตามการที่พวกเขาได้ อลีสซง เบ็คเกอร์ เข้ามาเฝ้าเสาทำให้อะไรหลายๆ อย่างค่อยๆ ดีขึ้น
ฟอร์มการเล่นที่เหนียวหนึบของ นายทวารชาวบราซิเลียน แสดงให้เห็นมาแล้วหลายต่อหลายเกมในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะแมตช์ล่าสุดที่เซฟทีมในช่วงทดเจ็บแมตช์พบ นาโปลี ในการแข่งขันถ้วยใบโตยุโรป ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงขนาดออกมาชื่นชม และพร้อมจ่ายเงินค่าตัวสองเท่า (ซื้อมา 67 ล้านปอนด์) เพื่อให้ได้ อลีสซง มาร่วมทีม
อลีสซง มีส่วนทำให้เกมรับของ ลิเวอร์พูล แข็งโป๊ก โดยช่วยทีมไม่เสียประตู 10 แมตช์และเสียแค่ 6 ลูกเท่านั้น นอกจากนี้ โกล์ทีมชาติบราซิล ยังเสียแค่ 1 ประตูจากทุกๆ 240 นาที หรือเสีย 1 ประตูจากทุกๆ 2.5 เกม นอกจากนี้เจ้าตัวยังมีอัตราการเซฟประตูถึง 85.7 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่าเขาสามารถป้องกันประตูได้ 36 ครั้งจากจังหวะการยิงถึง 42 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม เขาก็เคยทำพลาดมหันต์จากการโชว์เหนือโดยไม่จำเป็นในแมตช์ที่พบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ และนำไปสู่การเสียประตู แต่นั่นก็ทำให้เขาได้รับประสบการณ์ และรู้จักปรับปรุงแก้ไข โดยหลังจากแมตช์นั้น อลีสซง ไม่มีจังหวะการเล่นเสี่ยงโดยไม่จำเป็นอีกเลย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ผลงานของ ดาบิด เด เคอา ที่แสดงให้เห็นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับ ลิเวอร์พูล ในการทุ่มเงินซื้อผู้รักษาประตูที่ยอดเยี่ยมพอๆ กับเขา ก่อนหน้านี้ นายด่านชาวสแปนิช เคยต้องพบกับความยากลำบากในฤดูกาลแรกที่ย้ายมาเล่นให้ “ผีแดง” ยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่หลังจากนั้นเขาแสดงให้โลกได้เห็นถึงความเหนียวหนึบ และคว้ารางวัลนักเตะแห่งปีของสโมสร 4 จาก 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา
โกล์ทีมชาติสเปน มีส่วนสำคัญกับการป้องกันประตูให้แมนฯ ยูไนเต็ด หลายๆ จังหวะ อย่างไรก็ตามในฤดูกาลนี้เขาทำคลีนชีตได้แค่ 2 ครั้ง และเสียไปถึง 26 ประตู ทำให้ค่าเฉลี่ยในการเซฟประตูของเขาตกลงไปจากเดิม 80.4 เปอร์เซนต์จากเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา เหลือเพียง 68.3 เปอร์เซ็นต์ ในซีซั่นนี้ พร้อมทั้งป้องกันจังหวะการยิงได้แค่ 54 ครั้งจากการยิง 79 ครั้ง
ฟันธง : เสมอกัน
กองหลัง
ลิเวอร์พูล
หลังจากทีมต้องชวดการลุ้นแชมป์ในหลายต่อหลายฤดูกาลเนื่องจากมีเกมรับที่หลวมโครกสุดๆ แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ค่อยๆ สร้างเกมรับด้วยการทุ่มเงินเกือบ 150 ล้านปอนด์ (ราว 6,450 ล้านบาท) ดึงตัว เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กับ อลีสซง มาร่วมทีม โดยเม็ดเงินที่ “เดอะ เร้ดส์” เสียไปต้องบอกว่าคุ้มค่ากับผลงานของทั้งสองคน
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่ โจ โกเมซ จะได้รับบาดเจ็บ เขายืนจับคู่เซนเตอร์แบ็กกับ ฟาน ไคด์ ได้อย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ตำแหน่งฟูลแบ็กของทีมอย่าง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็ยังคงผลิตผลงานดีมีคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง
“เดอะ เร้ดส์” เสียประตูในเกมลีกเพียงแค่ 6 ลูกเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นฟอร์มการเล่นเกมรับที่ดีที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร 126 ปีกับการลงเล่นช่วงต้นฤดูกาล นอกจากนี้ “หงส์แดง” ยังเก็บได้ 10 คลีนชีต ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทีมก้าวขึ้นเป็นจ่าฝูงในเวลานี้
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
มูรินโญ่ มักจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นกองหลังตลอดเพื่อที่จะพยายามหาทางแก้ปัญหาเกมรับย่ำแย่ของพวกเขาให้ได้ อย่างไรก็ตาม “เฮียมู” ยังไม่สามารถหากองหลังที่เหมาะสมที่จะยืนประจำการถาวรได้ซะที โดยสถานการณ์ที่ย่ำแย่แบบนี้มาจากการที่บอร์ดบริหารไม่ยอมอนุมัติให้เขาทุ่มเงินซื้อเซนเตอร์แบ็กที่ต้องการมาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์นี้
“ปีศาจแดง” เสียประตูไปแล้ว 26 ลูกในเกมพรีเมียร์ลีก น้อยกว่าที่พวกเขาเสียไปตลอดทั้งฤดูกาลที่ผ่านมาเพียงแค่ 2 ประตูเท่านั้น พวกเขามีสถิติคลีนชีตแค่ 2 เกมอยู่ในระดับเดียวกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่พวกเขารั้งอยู่อันดับ 6 ในเวลานี้
ฟันธง : ลิเวอร์พูล เหนือกว่า
กองกลาง
ลิเวอร์พูล
หลังจากมีการลงทุนอย่างมหาศาลในเกมรับแล้ว พวกเขายังลงทุนสร้างกองกลางให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยการคว้าตัว นาบี เกอิต้า มาร่วมทีม ตามด้วยดึง ฟาบินโญ่ มาจาก โมนาโก ขณะที่ของเดิมที่มีอยู่ทั้ง เจมส์ มิลเนอร์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม มีบทบาทสำคัญในแผงกลางของ “หงส์แดง” ที่สำคัญนักเตะใหม่ที่ดึงมาร่วมทีมยังทำให้ คล็อปป์ มีตัวเลือกที่หลากหลายในการใช้งานด้วย
ลิเวอร์พูล มีสถิติในการครองบอล 59 เปอร์เซ็ฯต์ และผ่านบอลสำเร็จ 8,230 ครั้ง หรือ 608 ครั้งต่อเกม ยังไม่หมดแค่นั้น กองกลางของ “เดอะ เร้ดส์” ยังมีส่วนในการสร้างสรรค์เกมและทำให้ทีมสามารถยิงประตูคู่แข่งเป็นว่าเล่นโดยตอนนี้พวกเขาตะบันไปแล้ว 34 ประตูเป็นรองแค่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (45 ประตู) เท่านั้น
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แม้ว่า “ผีแดง” จะทุ่มเงินซื้อ เฟร็ด จำนวน 52 ล้านปอนด์ (ราว 2,236 ล้านบาท) ในช่วงซัมเมอร์นี้ แต่กระนั้นพวกเขาก็มีปัญหาเกี่ยวกับฟอร์มการเล่นของ ปอล ป็อกบา โดย ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ โชว์ฟอร์มสุดยอดช่วย ฝรั่งเศส คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก แต่เวลาเล่นให้ต้นสังกัดผลงานต่างกันราวฟ้ากับเหว แถมมีปัญหาเกาเหลากับ มูรินโญ่ อีกต่างหาก
นอกจากกรณีของ เฟร็ด ที่ยังต้องพบกับความยากลำบากในการดึงศักยภาพที่แท้จริงออมาช่วยทีม ในรายของ เนมานย่า มาติช ก็พึ่งพาไม่ค่อยได้นัก ส่วน อันเดร์ เอร์เรร่า กับ ฆวน มาต้า ก็ไม่ค่อยได้ลงเล่นตัวจริงอย่างต่อเนื่อง งานนี้มีความเป็นไปได้นว่า “เฮียมู” จะต้องพึ่งพา มารูยาน เฟลไลนี่ ในการกดดันด้วยลูกอากาศใส่แข้ง “หงส์แดง”
กองกลางของแมนฯ ยูไนเต็ดมีค่าเฉลี่ยครองบอล 54 เปอร์เซ็นต์ ผ่านบอลสำเร็จ 6,699 ครั้งหรือ 507 ต่อเกม แต่สำหรับแผงมิดฟิลด์ของ “ผีแดง” พวกเขาช่วยสร้างผลงานด้วยการช่วยกันยิงไป 8 ประตู และทำ 7 แอสซิสต์
ฟันธง : เสมอกัน
กองหน้า
ลิเวอร์พูล
แนวรุกของ ลิเวอร์พูล ทำให้แนวรับคู่แข่งขนหัวลุกซู่มาแล้ว โดยสามประสาน “เอสเอ็มเอฟ” ได้แก่ ซาดิโอ มาเน่, โม ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ พร้อมที่จะป่วนคู่แข่งได้ตลอดเวลา แฟนบอลคงจำกันได้ดีว่าสามประสาน “หินเหล็กไฟ” ช่วยกันยิงประตูรวมกัน 57 ลูกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา โดย ซาลาห์ คนเดียวจัดหนักในเกมพรีเมียร์ลีกไปเบาะๆ 32 ประตู
นอกจากนี้ คล็อปป์ ยังได้ตัว เซอร์ดาน ชากีรี่ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวแค่ 13 ล้านปอนด์ (ราว 559 ล้านบาท) แต่ช่วยทีมได้เยอะมากโดยทำให้ “หงส์แดง” มีขุมกำลังเชิงรุกในเกมบุกที่หลากหลาย โดยทีมยังมี ดิว็อค โอริก้า กับ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ที่สามารถลงมาพลิกเกมช่วยทีมทำประตูสำคัญๆ ได้เสมอ
ลิเวอร์พูล ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายคู่แข่งในเกมลีกไปแล้ว 34 ประตูในฤดูกาลนี้ พร้อมกับค่าเฉลี่ยยิงประตู 14.6 ครั้งต่อเกม นอกจากนี้สามประสาน “เอสเอ็มเอฟ” ถือเป็นผู้เล่นเกมรุกที่มีความสำคัญกับทีมมาก โดยตอนนี้พวกเขายิงรวมกันไปแล้ว 20 ประตู ยิ่งไปกว่านั้น ซาลาห์ กลับมาสู่ฟอร์มเก่งอีกครั้งเพราะเขาขึ้นไปครองดาวซัลโวร่วมพร้อมกับซัดไปแล้ว 10 ประตู
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แม้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะมีผู้เล่นเกมรุกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ทั้ง โรเมลู ลูกากู, อเล็กซิส ซานเชซ, อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล, เจสซี่ ลินการ์ด และ มาร์คัส แรชฟอร์ด อย่างไรก็ตามปัญหาสำหรับ มูรินโญ่ ก็คือเขาไม่สามารถที่จะหาแนวทางในการทำให้นักเตะเหล่านี้ระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาได้ในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ ซานเชซ ซึ่งตอนนี้มีปัญหาบาดเจ็บ ยังคงทำผลงานได้ฝืดสุดๆ นับตั้งแต่ย้ายมาจาก อาร์เซน่อล ส่วน ลูกากู ผลงานก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายในฤดูกาลนี้ แถมยังโดนตราหน้าว่าเก่งเฉพาะเวลาเจอทีมเล็กๆ พอปะทะทีมใหญ่ไปไม่เป็นทุกที อย่างไรก็ตามทีมยังมีตัวทีเด็ดนั่นก็คือ มาร์กซิยาล ที่ฟอร์มกำลังเข้าฝัก
สำหรับตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงไปเพียง 28 ประตูโดยค่าเฉลี่ยในการยิงประตูต่อเกมอยู่ที่ 13.1 เท่านั้น แถมประตูสำคัญๆ มักจะมาจากการยิงของ มาร์กซิยาล ซึ่งซัดไปแล้ว 7 ลูก แต่กระนั้นหาก ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้ในเกม “แดงเดือด” งานนี้เกมรุกของ “ผีแดง” มีปัญหาแน่นอน
ฟันธง : ลิเวอร์พูล เหนือกว่า
หากมองจากสถิติดูเหมือนว่า ลิเวอร์พูล มีภาษีเหนือกว่าคู่อริตลอดกาล โดยเฉพาะในเรื่องเกมรับเพราะพวกเขาเสียเพียงแค่ 6 ประตูในขณะที่ แมนฯ ยูฯ เสียมากกว่าสองเท่า สำหรับแผงกองกลางถือว่ามีศักยภาพพอๆ กันฉะนั้นต้องเป็นเรื่องของการชิงไหวชิงพริบกันของแต่ละทีม
ในส่วนของเกมรุกคงไม่ปฏิเสธว่า “หงส์แดง” ดูดีกว่าจากจำนวนประตูและการสร้างสรรค์โอกาสในแต่ละเกม แม้ว่าทั้งสองทีมจะมีผู้เล่นเกมรุกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ก็ตาม แต่ ลิเวอร์พูล มีสามประสานที่เฉียบคมและสมควรได้ขึ้นไปรั้งจ่าฝูง ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด หากเกมรุกดีกว่านี้พวกเขาคงไม่ได้นอนนิ่งอยู่ที่อันดับ 6 แน่นอน
มุมแสดงทรรศนะ