เทพ วินนิ่ง! ดาเนี่ยล อโมคาชี่ เก่งแค่ไหน? ทำไมเด็กยุค90 ต้องคลั่งไคล้เขา
เราเชื่อว่าหลายคนรู้จัก ดาเนี่ยล อโมคาชี่ กองหน้าทีมชาติในจีเรียจากเกม Winning Eleven 3 … เรากล่าวขานเขาถึงในฐานะเทพสปีด 9 ผู้เร็วเหมือนกับสายลม แต่ชีวิตในโลกฟุตบอลจริง ๆ ของเขาล่ะเป็นอย่างไร?
นี่คือเรื่องราวของ อโมคาชี่ ที่ครบมุมมอง… และถึงตอนนี้ก็ยังมีบางเรื่องที่สรุปไม่ลงว่าทำไมนักเตะตัวเทพในวินนิ่งอย่างเขา จึงไม่ป๊อปปูลาร์ในชีวิตจริงเหมือนกับโรนัลโด้ บ้าง…
ติดตามแง่มุมที่คุณไม่เคยรู้กับ ดาเนี่ยล อโมคาชี่ ได้ที่นี่…
อโมคาชี่ ในโลกแห่งความจริงเก่งแค่ไหน
สาเหตุที่หลายคนต่อให้จะเกิดทันวินนิ่ง 3 แต่ก็ไม่ทันได้รู้จัก ดาเนี่ยล อโมคาชี่ กองหน้าที่ฮ็อตที่สุดในตัวเกมยุคนั้น เป็นเพราะว่าตัว อโมคาชี่ ดังมาก่อนหน้าเกมจะออกอยู่ 2-3 ปี ดังนั้นหลายคนจึงไม่ได้เห็นวันที่ดีที่สุดของเขาเท่าไหร่
อโมคาชี่ เป็นเด็กที่โตจากสลัมแต่เล่นฟุตบอลเก่ง แรกเริ่มเขาเล่นเป็นตัวโรงเรียน ก่อนที่จะถูกแมวมองคัดไปเล่นให้กับทีมในไนจีเรีย พรีเมียร์ชิพ โดยที่เขาไม่ได้เงินค่าแรงเลยแม้แต่บาทเดียว ตลอดช่วง 7-8 เดือนแรก แต่เขาก็เลือกที่จะเล่นต่อไปเพื่อให้โอกาสเดินทางมาถึง…และสุดท้ายมันก็มาจนได้
ในปี 1990 กุนซือชาวเนเธอร์แลนด์อย่าง เคลมองส์ เวสเตอร์ฮอฟ ที่คุมทีมชาติไนจีเรีย ณ เวลานั้นเห็นฟอร์มจึงเรียกมาติดทีมชาติและผลักดันเด็กคนนี้ที่เขาเรียกว่า “ไอ้กระทิง”(The Bull) ให้กับ คลับ บรูซ สโมสรในเบลเยี่ยมซื้อตัวไปร่วมทีม
ช่วงเวลากับ คลับ บรูซ ถือว่าดีที่สุดแล้วในฐานะกองหน้า เพราะสถิติการยิงประตูเยี่ยม อโมคาชี่ มีค่าเฉลี่ยการยิงประตูเฉลี่ยอยู่ที่ 1 ลูกต่อ 2 เกมนิดๆ (84 นัดยิง 37 ลูก) และเมื่อบวกผลงานในฟุตบอลโลก 1994 ที่ยิงไป 2 ลูก พาไนจีเรียไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนแพ้ อิตาลี ในช่วงต่อเวลาพิเศษจากจุดโทษของ โรแบร์โต้ บาจโจ้ นั่นทำให้ เอฟเวอร์ตัน ซื้อตัวเขาไปร่วมทีมด้วยราคา 3 ล้านปอนด์ ในปี 1994 ซึ่งต้องยอมรับว่าราคาดังกล่าวสูงมาก ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพนักเตะอย่างรอย คีน ที่ย้ายจาก น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ไปอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด และเป็นสถิตินักเตะที่แพงที่สุดในทีมปีศาจเเดง ณ เวลานั้นยังมีราคาเพียง 3.7 ล้านปอนด์เท่านั้นเอง…ดังนั้นจะบอกว่า อโมคาชี่ ดังเพราะฟุตบอลโลกก็คงจะพออ้างอิงได้ในระดับหนึ่ง
ช่วงที่อยู่กับ เอฟเวอร์ตัน หากมองไปที่สถิติแล้วถือว่าน่าผิดหวังกับราคาระดับแพงที่สุดของสโมสร อโมคาชี่ ยิงได้แค่ 10 ประตูจาก 43 เกม ตลอดระยะเวลา 2 ปี …พูดได้ว่าน้อยกว่าความหวังที่ตั้งไว้ก็คงไม่ผิดนัก
อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าชีวิตนักฟุตบอลไม่ได้มีแค่เรื่องของความสำเร็จเพียงแง่มุมเดียวเท่านั้น… และ อโมคาชี่ ก็มีเรื่องให้จดจำไม่ได้น้อยในตอนที่เขาอยู่อังกฤษ…
คัลท์ ฮีโร่
นักเตะบางคนอาจจะโดนบ่นเรื่องฝีเท้าและความคุ้มค่าไปบ้าง แต่สุดท้ายเเล้วด้วยนิสัย, หัวจิตหัวใจ และความมุ่งมั่น หากพวกเขามีคุณสมบัติเช่นนี้มากพอแฟนบอลก็จะรักเขาโดยไร้ข้อแม้ นักเตะแบบนี้มีชื่อเฉพาะว่า “คัลท์ ฮีโร่” (Cult Hero) หรือวีรบุรุษแห่งท้องถิ่น… “แฟนบอลทีมอื่นว่าเอ็งกระจอกไม่ต้องไปน้อยใจ เอ็งคือสุดยอดนักเตะของพวกข้า” อารมณ์ก็จะประมาณนี้
เหตุผลที่ อโมคาชี เป็นคัลท์ ฮีโร่ ของ เอฟเวอร์โตเนี่ยนก็คือลักษณะการเล่นที่ดุดัน เป็นกองหน้าที่แม้ไม่ได้ตัวใหญ่ แต่ก็ไม่กลัวใคร และที่สำคัญเขาเป็นคนที่มีทัศนคติดี เข้ากันได้กับเพื่อน ๆ ทุกคน แม้ว่าเพิ่งย้ายมาก็ตาม
นอกจากจะเป็นนักเตะเเล้ว อโมคาชี่ ยังเป็นนักเต้น เป็นดีเจประจำห้องแต่งตัว ซึ่ง ณ ปีแรก (94-95) ที่เขาอยู่กับ เอฟเวอร์ตัน ทีมกำลังประสบปัญหาฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ในช่วงแรก และโดยปกติแล้วหน้าที่เปิดเพลงไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของ เนวิลล์ เซาธ์ทอลล์ ผู้รักษาประตูของทีม…
เซาธ์ทอลล์ เป็นพี่บิ๊กในห้องแต่งตัว แต่เปิดเพลงได้ห่วยมาก (จากมุมมองของ อโมคาชี่) ดังนั้นด้วยความที่เขาเป็นคนรักเสียงดนตรี เขาจึงไม่ชอบฟังเพลงที่ไม่เข้าหูก่อนลงสนาม และนั่นทำให้เขาเป็นนักเตะเอฟเวอร์ตันคนแรกในรอบหลายปีที่บอก เซาธ์ทอลล์ ว่า “พอเหอะ เพลงนายนี่มันห่วยชะมัด เดี๋ยวฉันจัดการเอง” อะไรประมาณนั้น
“รู้อะไรไหม เซาธ์ทอลล์ เป็นดีเจที่สยองที่สุด ผมเข้ามาอยู่กับทีมด้วยการเป็นคนที่มีดนตรีในหัวใจ ผมอยากจะเปิดเพลงของผม แต่ในทีมไม่มีใครกล้าขัดใจเขาสักคน เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเพลงของเขานี่มันห่วยแตกชะมัดยากเลย” อโมคาชี่ เล่าถึงวันเก่าๆ ก่อนเขาจะได้รางวัลการกล้าขอกล้าให้ด้วยการเป็นดีเจประจำทีม และจากนั้นเสียงเพลงของ อโมคาชี่ ก็กลายเป็นส่วนสำคัญในห้องแต่งตัวไปโดยปริยาย
“ผมเปิดเพลงของผม แล้วผมก็เต้นยับเลยไม่ลืมหูลืมตา ตอนนั้นทุกคนในทีมสนุกกับมันมาก บรรยากาศในทีมดีขึ้นเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ จากนั้นเราก็จะมีคิววนกันเปิดเพลงในแนวที่ชอบของแต่ละคน ยอดไปเลย! เพลงคือสิ่งสำคัญในห้องแต่งตัวของเรา มันทำให้พวกเราพร้อมที่จะลงไปสู้ด้วยความมุ่งมั่น” อโมคาชี่ ที่ชอบฟังเพลงแร็ปจากศิลปินอเมริกัน อาทิ N.W.A., Tupac Shakur, Biggie, The Outlawz, the Geto Boys กล่าว
ณ เวลานั้นเอฟวอร์ตัน ต้องเข้าสู่โหมดหนีตกชั้นตั้งแต่ก่อนเข้าเดือนมกราคม พวกเราลงเล่น 11 เกมลีกโดยไม่สามารถเอาชนะใครได้เลย เก็บได้แค่ 4 คะแนนเท่านั้น และสุดท้ายก็มีการเปลี่ยนกุนซือเป็น โจ รอยล์ ในเดือนพฤศจิกายน จากนั้นวัฒนธรรมการเปิดเพลงในห้องแต่งตัวก็เริ่มขึ้นดังที่กล่าวไป
แน่นอนว่าการเปลี่ยนโค้ชคือประเด็นหลักของจุดเปลี่ยนทั้งหมด แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้เพลงก็ช่วยพวกเขาได้มากจริงๆ บรรยากาศในห้องแต่งตัวเปลี่ยนไปและอะไรๆก็ดีขึ้น แม้แต่แฟนก็ยังรู้สึกได้ ทีมกลับมาทำเเต้มในลีกได้เป็นกอบเป็นกำ และจังหวะก็ดันลงตัวพอดีเป๊ะที่ เอฟเวอร์ตัน เครื่องเริ่มร้อนเอาในตอนที่ เอฟเอ คัพ เริ่มเเข่งขันพอดี
ทอฟฟี่บลูส์ ไล่เก็บ ดาร์บี้, บริสตอล ซิตี้, นอริช, นิวคาสเซิล จนกระทั่งมาเจอกับ สเปอร์ส ในรอบ 4 ทีมสุดท้ายและเมื่อถึงตรงนี้ความเป็นคัลท์ ฮีโร่ ของ อโมคาชี่ จึงเริ่มบังเกิดอย่างเต็มรูปแบบ
แมทธิว แจ็กสัน ยิงให้ เอฟเวอร์ตัน นำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 35 ก่อนที่ แกรม สจ๊วร์ต จะยิงให้ทีมหนีห่าง 2-0 ในช่วงครึ่งหลัง ทว่าไม่นานนักแฟน เอฟเวอร์ตัน ก็ต้องกัดเล็บด้วยความกดดันเมื่อ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ ตีไข่แตกจากจุดโทษในนาทีที่ 63 และอีก 20 นาทีหลังจากนั้น สเปอร์ส พับสนามบุกแบบไม่ลืมหูลืมตา
ช่วงท้ายเกมเหลืออีกไม่ถึง 10 นาที พอล ไรด์เอาท์ กองหน้าดาวซัลโวอันดับ 1 ของทีม ก็ถูกเปลี่ยนตัวออก และ รอยล์ เลือกเอา อโมคาชี่ นักเตะสำรองอดทนลงสนามโดยมีเวลาให้เล่นประมาณแค่ 8 นาทีเท่านั้น ทว่ามันก็มากพอที่จะทำให้นักเตะความเร็วสูงอย่างเขามีเวลาฉีกหนีกองหลังของ สเปอร์ส เข้าไปชาร์จระยะเผาขนจนได้ประตูถึง 2 ลูกใน 8 นาที… เอฟเวอร์ตัน ชนะ 4-1 สำหรับแฟนทอฟฟี่ตอนนั้นพวกเขาไม่สนว่า อโมคาชี่ จะยิงมาเเล้วกี่ลูกหรือยิงพลาดมาเเล้วกี่ครั้ง แต่ 2 ประตูในเกมนี้ทำให้ค่าตัวของเขาคุ้มค่าขึ้นมาทุกบาททุกสตางค์
“นี่คือการเปลี่ยนตัวที่ดีที่สุดในชีวิตผม” โจ รอยล์ ให้สัมภาษณ์หลังเกมนั้น และแน่นอนว่ามันถูกจดจำมาจนถึงทุกวันนี้เพราะ เอฟเวอร์ตัน เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศเเละสามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้อย่างยิ่งใหญ่ พวกเขาจบฤดูกาลได้อย่างเพอร์เฟ็กต์ จากทีมหนีตกชั้นอยู่ครึ่งซีซั่น กลับกลายเป็นทีมแชมเปี้ยนส์ และเป็นตัวแทนไปแข้งรายการ คัพ วินเนอร์ส คัพ อย่างเหลือเชื่อ…
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมถึงแม้จำนวนประตูจะน้อยนิดแต่ อโมคาชี่ ยังอยู่ในความทรงจำของ เอฟเวอร์โตเนี่ยนยุคนั้นจนถึงทุกวันนี้
กองหน้าที่เก่งที่สุดในวินนิ่ง 3
ก่อนอื่นเลยเท่าที่ได้ดูจากคลิปวีดีโอการเล่นของ อโมคาชี่ เก่าๆในยูทูบ เราสามารถระบุสไตล์ของเขาได้อย่างชัดเจนว่าเป็นกองหน้ากึ่งปีกสไตล์แอฟริกันขนานแท้ เขาสูง 182 เซนติเมตร แต่กล้ามเนื้อเยอะมาก ที่สำคัญคือจังหวะการเล่นของเขานั้นจัดได้ว่าเป็น แอฟริกัน จ๋าอย่างชัดเจน…
แอฟริกันสไตล์ ในที่นี้หมายถึงเทคนิคอาจจะไม่มากเท่านักเตะหัวแถวของยุโรป แต่เขาใช้ความเเข็งแกร่งเอาชนะในการดวล 1-1 ลักษณะการเอาตัวรอดที่เห็นบ่อยๆคือการ “แตะเเล้ววิ่ง” วัดกันที่ความเร็วและการโดนชนไม่ล้ม… นั่นคือสไตล์การเล่นของ อโมคาชี่ ที่น่าจะอธิบายให้พอเห็นภาพได้ง่ายที่สุด
ตัวจริงเล่นอย่างไร ในเกมก็เป็นอย่างนั้น สไตล์การแตะหนีแล้ววิ่งตามบอลของ อโมคาชี่ ทำให้เขามีสปีดในเกม Winning Eleven 3 อยู่ในระดับเต็มแม็กซ์ เลยทีเดียว
ค่าพลังของ อโมคาชี่ คือ Stamina (ความอึด) 6, สปีด(ความเร็ว) 9, Kick (ยิงประตู) 9, Pass(ส่งบอล) 6, Curve (ปั่นไซด์ 6) และ Jump (กระโดด) 8
ค่าพลังแบบนี้ถือว่าเก่งกว่ากองหนัาระดับโลก (ในโลกแห่งความจริง) อย่าง โรนัลโด้ ของบราซิลเลยด้วยซ้ำ ด้วยตัวเกมภาคนั้นระบบของ AI ที่ใช้วิเคราะห์การเล่นยังไม่ละเอียดนัก นั่นหมายความว่าแค่สปีด 9 และยิง 9 ก็ถือว่าเก่งที่สุดในเกมเเล้ว ซึ่งทั้งเกมมีค่าพลังแบบนี้แค่ 2 คนนั่นคือ อโมคาชี่ และ โรแบร์โต้ คาร์ลอส ดังนั้นไม่ต้องสืบเลยว่าทำไม อโมคาชี่ จึงเป็นที่นิยมและรู้จักกันแพร่หลายมาก เรียกได้ว่าตัวของเขาในเกมมีความป๊อปปูลาร์ระดับโลก ต่างกับตัวจริงที่เป็นคัลท์ ฮีโร่ อยู่มากโขเลยทีเดียว
และความไม่ละเอียดในค่าพลังยังส่งเสริมให้ อโมคาชี่ ไม่ต่างจากมนุษย์ต่างดาวเข้าไปอีก เมื่อนักเตะในตำแหน่งกองหลังนอกจาก คาร์ลอส แล้วไม่มีใครสปีด 9 เลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นเมื่อไม่มีค่าพลังอื่นๆอย่างสปีดต้น, ความแข็งแกร่ง และการเลี้ยงบอลมาเกี่ยวข้อง เมื่อ อโมคาชี่ ได้บอลและลากผ่านใครไปสักคนเเล้ว ไม่ต้องหวังว่าจะตามทัน สปีด 9 มีอานุภาพร้ายแรงมาก ชนิดที่ว่าแตะหายเเล้วหายเลย แทบหันมาโบกมือบ๊ายบายให้คนวิ่งตามอีกก็ยังไหว สำคัญที่สุดคือความสูง 182 เซ็นติเมตรนั้นมากับความแข็งแรงชนไม่เข้า เบียดแย่งไม่ได้ง่ายๆ
นอกจากนี้ค่าการยิงก็เป็นอะไรที่ไม่ละเอียด มีแค่ Kick อย่างเดียว และเมื่อค่าพลังของเขาเท่ากับ 9 ก็หมายความว่า อโมคาชี่ สามารถยิงประตูได้จากทุกทิศทุกทาง กดสี่เหลี่ยมเปรี้ยงเดียวหาย จบง่ายๆแบบนั้นเลย
สรุปสุดท้ายเมื่อยกค่าพลังของนักเตะในภาคนั้นแต่ละคน เมื่อเอาลงมาวิ่งในสนามเเล้ว อโมคาชี่ ถือเป็นนักเตะที่มีค่าพลังสมบูรณ์แบบที่สุด…หากเทียบกับกองหน้าคู่ขวัญอย่าง โรนัลโด้ และ คาร์ลอส (แม้จริงๆจะเป็นแบ็คซ้าย) ถือว่ามีความเหนือกว่าอยู่นิดๆอีกด้วยซ้ำไป
เขาวิ่งเร็วเท่าโรนัลโด้กับคาร์ลอส .. เขายิงดีกว่าโรนัลโด้ (โรนัลโด้ Kick 8) แถมยังเเข็งแรงและโหม่งเก่งกว่า คาร์ลอส (คาร์ลอส สูง 168 ค่าพลัง Jump 6) ส่วนค่าพลังอื่น ๆ แทบไม่ต้องเอามาคิดให้เหนื่อย เพราะแทบไม่เห็นความต่างเลยจริง อาทิ ค่าพลัง Curve นั้น แทบไม่มีประโยชน์ในสถานการณ์เมื่อลงเเข่งขันของเกมภาคนั้นเลยด้วยซ้ำไป
คอมโบเซ็ตชุดแฮปปี้มีล
เหตุผลที่ทุกคนจดจำ อโมคาชี่ ในฐานะเทพ Winning 3 ได้ชัดเจนมากกว่าค่าพลังของเขาก็คือองค์ประกอบทีมชาติ ไนจีเรีย นั้นใช้คำว่า “โหดจัด” แทบทุกตำแหน่ง”
นี่คือทีมที่น่าจะวิ่งเร็วที่สุดในตัวเกมภาคนี้ พวกเขายังมีนักเตะสปีด 8 อีก 5 คนได้แก่ Ikpeba, Babayaro, Finidi, Okechuku, Babangida (ภาคต่อไปสปีดเพิ่มเป็น 9) และสุดท้ายแม้แต่ประตูที่ชื่อว่า Rufai ก็ยังสปีด 8 กับเขาด้วยเหมือนกัน นอกจากนี้กองกลางยังมีตัว Kick 9 อีก 1 คนนั้นคือ Sundey Oliseh
แต่ที่โหดที่สุดคือเซ็ต 3 กองหน้าที่นอกจาก อโมคาชี่ ที่สปีด 9 แล้วยังมี ทิยานี่ บาบันกิด้า (Babangida) ที่เร็วพอๆกับสปีด 9 อีก 1 คน ซึ่งในส่วนของ บาบันกิด้า ยังไม่โหดเท่าเพราะค่าพลัง Kick มีแต่ 6 และสูงแค่ 169 เซ็นติเมตร แต่ด้วยความเร็วขนาดนี้ก็นับว่าเหลือเเหล่ เพราะเมื่อปรับมาเล่นระบบ 4-3-3 ไนจีเรีย จะมีนักเตะสองคนเล่นในตำแหน่งปีกซึ่งไม่มีใครตามทัน
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดเมื่อมีปีกแล้วก็ต้องมีตัวกลางที่จบสกอร์ดี เอ็นวานโก้ คานู (Kanu) ซึ่ง คานู นั้นสูงเกือบ 2 เมตร และค่าพลังในเกมถือว่าใช้ได้โดยเฉพาะค่าพลังการกระโดดที่มากถึง 8 ดังนั้น เมื่อปีกไปจนถึงสุดเส้นหลังและโยนเข้ามาได้ คานู ที่ถึงแม้ตัวจริงจะไม่ถนัดลูกโด่ง แต่ออกไปแนว ๆ บอลเทคนิคมากกว่า แต่ในเกมสูงเป็นลำดับต้นๆจึงเก็บกินได้ตลอด ไม่ว่าจะโหม่งชง โหม่งเช็ด หรือโหม่งทำประตู ก็ได้ทั้งนั้น และทั้งหมดนี่คือส่วนประกอบที่ทำให้ ไนจีเรีย คือทีมแห่งความทรงจำใน Winning 3 ไม่ใช่แค่ อโมคาชี่ คนเดียวเท่านั้น…
เรื่องเล็กๆ…ที่ขอให้ไม่จริง
แม้ความจริง อโมคาชี่ จะต้องเลิกเล่นก่อนวัยอันควรเพราะอาการบาดเจ็บรบกวนแบบบไม่ถูกจดจำมากนัก แต่ก็มีทฤษฎีสมคบคิดเล็กๆเกิดขึ้นว่าทำไมเขาถึงไม่ดังขึ้นกว่าเดิมเลยนับตั้งแต่จบฟุตบอลโลก 1994 ทั้งๆที่ตอนนั้นเขาอายุแค่ 21 ปี เท่านั้น
เอาล่ะคุณอาจจะบอกว่ามีนักเตะหลายคนที่แจ้งเกิดในฟุตบอลโลกแต่หลังจากนั้นก็หายเงียบไปมากมายทั้ง มาริโอ เกิตเซ่ และ เอล ฮัดจิ ดิยุฟ เป็นต้น แต่ในเคสของ อโมคาชี่ นั้นมันมีมูลให้น่าสงสัย
เหตุก็คือ ไนจีเรีย นั้นขึ้นชื่อเรื่องโกงอายุนักฟุตบอลยุคเยาวชน กล่าวคือนักเตะอาจจะอายุประมาณ 24-25 ปีแล้ว แต่ก็ยังส่งชื่อมาแข่งขันในรายการชิงแชมป์ยู 17 อะไรแบบนั้น โดยเฉพาะในช่วงปลายยุค 80’s ต่อยุค 90’s ที่ผู้บริหารทีมชาติไนจีเรียถึงขั้นออกมายอมรับว่า “โกงจริง” เพราะการเปลี่ยนสำเนาใบเเจ้งเกิดนั้นมีราคาถูกมาก ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวก็เกี่ยวเนื่องกับตอนที่ อโมคาชี่ เริ่มมีชื่อเสียงพอดิบพอดี
“คุณสามารถเดินเข้าไปในสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในวันนี้ ปลอมเอกสารที่ศูนย์ธุรกิจที่อยู่ใกล้ๆ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนสถานที่เกิด วันเกิด จ่ายเงิน 7,000-10,000 ไนรา (580-830 บาท) และแค่ไม่ถึงชั่วโมงทุกอย่างก็เสร็จสิ้น” บทความหนึ่งในเว็บไซต์ Nigeria Village Square
แอนโธนี โคโจ วิลเลียมส์ อดีตประธานสหพันธ์ฟุตบอลไนจีเรียให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า “เราใช้นักเตะอายุเกินเพื่อคว้าแชมป์ในรุ่นเยาวชน ผมรู้เรื่องนั้น”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้น เพราะมันคือความจริง เราโกงมาโดยตลอด มันคือความจริง….เมื่อคุณโกง จะทำให้คุณพรากโอกาสของนักเตะดาวรุ่งที่ควรได้ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์นี้อย่างถูกต้องไป”
จะจริงหรือไม่ก็น่าคิด.. อโมคาชี่ นั้นเลิกเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 28 ปี (อายุตามพาสสปอร์ต) ซึ่งถือว่าเป็นอายุที่น้อยมากสำหรับอาชีพนี้ ซึ่งมันก็ไปตรงกับอีก 1 บทความเกี่ยวกับเรื่องโกงอายุของวงการฟุตบอลไนจีเรียอย่างบังเอิญอีกครั้ง
“นักเตะของเราหลายคนเลิกเล่น แล้วก็กลายเป็นปู่หรือตาทันที ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่เคยเล่นให้ไนจีเรียลีกบอกผมว่าอายุจริงของเขาคือ 34 แต่ในวงการฟุตบอลเขาอายุเพียงแค่ 21 ปีเท่านั้น” จอร์จ ออนมอนยา เขียนในบทความของตัวเองในเว็บไซต์ Nigeria Village Square …
สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นเพียงอีกข้อมูลหนึ่งให้ได้ลองคิดวิเคราะห์ต่อยอดและตัดสินกันเอาเองว่าคุณเชื่อแบบไหน… แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าอย่างไร ดาเนี่ยล อโมคาชี่ คือ 1 ในนักเตะแห่งความทรงจำของแฟนบอลไม่เปลี่ยนแปลง และแน่นอนว่าทุกวันนี้ข้อกล่าวหาที่ว่าเขาโกงอายุก็ยังยืนยันไม่ได้ 100% เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนปรากฎออกมา
แต่ถึงแม้ว่าสุดท้ายต่อให้มีหลักฐานอย่างไรเชื่อว่าเราๆท่านๆคงไม่ได้สนใจนัก เพราะเราจดจำ อโมคาชี่ ในเวอร์ชั่นเกม มากกว่าเวอร์ชั่นโลกแห่งความจริงแน่นอน
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม อโมคาชี่ ตำนานสปีด 9 คิก 9 แห่ง Winning 3 จึงถูกเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเเล้วเกือบ 30 ปีก็ตาม… เรื่องบางเรื่องก็ปล่อยมันคลาสสิกแบบนี้ต่อไปดีเเล้ว
มุมแสดงทรรศนะ