อินทรีเหล็กแรงจริง! เก็บตกหลังเกม เจ้าภาพยังร้อนแรง “เยอรมนี 2-0 เดนมาร์ก” ศึกยูโร 2024
“อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ยังคงฟอร์มแรงเดินหน้าเอาชนะ เดนมาร์ก 2-0 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายไป รอพบผู้ชนะระหว่าง สเปน กับ จอร์เจีย ในวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคมต่อไป และนี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเกมทั้งหมด
เบียร์กับโคนม
นี่คือการรีแมตช์ คู่ชิงชนะเลิศ ยูโร 1992 ซึ่งคราวนั้น เดนมาร์ก มวยแทนของ ยูโกสลาเวีย (โดนแบนเพราะสงคราม) ช็อกโลกเอาชนะไปได้ 2-0 จนนับเป็นแชมป์รายการใหญ่หนเดียวในประวัติศาสตร์ทีมโคนม
แต่ว่าถัดจากนั้น คู่นี้พบกันทั้งหมด (รวมนัดอุ่นเครื่อง) 28 ครั้ง เยอรมนี เหนือกว่าชัดเจนด้วยชัยชนะ 15 เสมอกัน 5 และเดนมาร์กชนะแค่ 8 โดยหนสุดท้ายที่ เดนมาร์ก โค่นอินทรีเหล็กลงได้ คือปี 2007 ชนะ 1-0 เกมอุ่นเครื่องที่ดุ๊ยส์บวร์ก นิคลาส เบนท์เนอร์ ซัลโวประตูโทน
จากนั้นมาอีก 4 นัด เยอรมนี ไร้พ่าย แต่ว่าก็เป็นการเสมอกันถึง 3 เกม รวมถึงล่าสุดที่ออกเจ๊า 1-1 เกมลับแข้งที่อินน์สบรุ๊ค เมื่อปี 2021 ซึ่งทีมโคนมใช้กุนซือเป็น แคสเปอร์ ฮูลมันด์ แล้ว (แต่เยอรมันยังเป็น โยอัคคิม เลิฟ) และ 9 จาก 11 ตัวจริงวันนั้น ยังอยู่ในทีมชุดลุย ยูโร 2024 วันนี้
ตัวจริงมีเปลี่ยน
น่าสนใจที่ 11 คนแรก ต่างฝ่ายต่างมีการปรับเปลี่ยนแบบ “เหนือความคาดหมาย” ด้วยกันทั้งคู่
ฝั่ง ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ ไม่มี โจนาธาน ทาห์ ที่ติดโทษแบน ก็เป็น นิโก้ ชล็อตเตอร์เบ็ค ที่ลงเสียบแทน ขณะเดียวกัน ดาวิด เราม์ ได้แทนที่ มักซิมิเลียน มิทเทลสตัดท์ ที่แบ็กซ้าย
เซอร์ไพรส์คือเกมรุก เลรอย ซาเน่ ที่ลงสำรองตลอด 3 เกมแรก และทำผลงานไม่ค่อยเอาอ่าวเอาทะเลเท่าไหร่ เน้นยิงไกลข้ามคานเป็นส่วนมาก ได้โอกาสเสียบแทน ฟลอเรียน เวียร์ตซ์
ส่วนคนที่แฟนๆ อยากเห็นถูกเสียบแทนอย่าง ไค ฮาแวร์ตซ์ ยังคงยึดตำแหน่งต่อไป
ฟาก แคสเปอร์ ฮูลมันด์ ก็มีตัวติดแบนเช่นกันคือกลางรับลูกชายต่างสายเลือด มอร์เทน ฮูลมันด์ ทำให้เป็นโอกาสของจอมเก๋า โธมัส เดอลานีย์ ในการแทนที่
ส่วนที่ผิดคาดคือ โยนาส วินด์ ที่ลงตัวจริงตลอด 3 เกมรอบแรก ถูกถอดออกจากตัวจริง เป็นทางให้ตัวรุกกึ่งริมเส้นอย่าง อันเดรียส สคอฟ โอลเซ่น จาก คลับ บรูช ลงมาแทน
สำหรับ คริสเตียน เอริคเซ่น ยังสวมบทเพลย์เมคเกอร์ตามเดิม เช่นเดียวกับ ราสมุส ฮอยลุนด์ ที่ยังคงต้องควานหาประตูแรกใน ยูโร 2024 ต่อไป แต่ก็ภายใต้ระบบที่มีการปรับเล็กน้อยให้เป็น 3-4-2-1 เอริคเซ่น กับ สคอฟ โอลเซ่น ถอยต่ำ ทิ้ง ฮอยลุนด์ หน้าเป้าตัวเดียว
เงื่อนไขอยู่ที่ เดนมาร์ก
ถูกต้องที่สุด เกมนี้จะเป็นแบบไหนอย่างไร เงื่อนไขอยู่ที่ เดนมาร์ก เกือบๆ จะร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะอย่างที่เห็นกันในตลอด 3 เกมแรก ว่าที่จริงก็มีเพียงเกมกับ อังกฤษ (1-1) นัดเดียวที่เล่นดี และคู่ควรกับชัยชนะมากกว่า
ส่วนกับ สโลวีเนีย (0-0) แม้จะคุมเกมได้เป็นส่วนใหญ่ แต่หลังบ้านเจาะเข้าง่าย และกับ เซอร์เบีย (0-0) ก็แทบไม่ได้ทำตัวให้เหมาะสมกับชัยชนะสักเท่าไหร่
นั่นคือภาพตรงกันข้ามสำหรับ เยอรมนี ที่ “มาดี” อย่างน่าทึ่ง ในตลอดทัวร์นาเมนต์นี้
เกมแรก ผ่าน สกอตแลนด์ แบบหายห่วง 5-1 ตามด้วยเกมสองก็ยังยอดเยี่ยม ปราบ ฮังการี 2-0 มาเกมสาม (หลังจากเข้ารอบแล้ว) นี่เองที่ออกทรงเจียนอยู่เจียนไป กว่าจะตามทวง สวิตเซอร์แลนด์ 1-1 ได้ก็ปาไป 90+2
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐาน
เงื่อนไขก็อยู่ที่ เดนมาร์ก เท่านั้นว่าจะต้านทานได้นานขนาดไหน
ถือว่าครึ่งแรก “รอดไป”
ที่จริง เกมที่เวสต์ฟาเล่น แทบจะจบลงตั้งแต่ 3 นาทีเศษๆ แรก กับเตะมุมที่ โทนี่ โครส สาดเข้าหัว นิโก้ ชล็อตเตอร์เบ็ค ทิ่มโขกตุงตาข่าย
โชคดีเป็นของ เดนมาร์ก ที่ VAR จับฟาวล์ไปเสียก่อน — ฟาวล์ โยชัว คิมมิช จังหวะสกรีน อันเดรียส สคอฟ โอลเซ่น เปิดทางให้เพื่อนเข้าทำ
เพราะถ้าเล่นมา 4 นาที เยอรมนี ขึ้นนำ 1-0 มั่นใจได้ว่าหลังจากนั้น ไหลเป็นน้ำตกหน้าฝนแน่นอน
โดยเฉพาะเมื่อภาพรวมของเกมถัดจากนั้น คือ เยอรมนี ลุยเข้าใส่เป็นพายุ สร้างโอกาสได้เป็นกอบเป็นกำ
ต้องขอบคุณ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล คนเดียวเท่านั้นเลย ที่วันนี้ “เข้าฟอร์ม” ระดับท็อปอีกครั้ง แม้วัยจะปาไป 37 และอาจเป็นเกมทัวร์นาเมนต์ใหญ่หนสุดท้ายของเจ้าตัว ก็ตาม
ฝนฟ้าไม่เป็นใจ
นาที 35 เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในเกมฟุตบอลระดับสูง โดยเฉพาะทัวร์นาเมนต์ใหญ่
เมื่อฝนที่เทลงมาไม่มาเปล่า ยังมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงมาในบริเวณใกล้เคียงกับสนามด้วย ส่งผลให้ผู้ตัดสิน ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ตัดสินใจเป่าหยุดเกมลงชั่วคราว ให้นักเตะสองฝ่ายเดินออกมายังข้างสนามเพื่อกินน้ำและรอเวลา
ครู่หนึ่งผ่านไป ฝนลงมาหนาเม็ดขึ้นจนสามารถใช้คำว่า “ตกหนัก” ได้ ทั้งยังมี “ลูกเห็บ” ก้อนเบ้ง โปรยปรายลงมาจากฟ้าด้วย
ที่สุดแล้ว ผู้ตัดสินเลือกนำนักเตะและสตาฟฟ์โค้ชทั้งสองฝั่ง เข้าไปเก็บตัวรอเวลาในห้องแต่งตัวแทน
ไม่แม้แต่แฟนบอลที่ต้องหนีฝน จากอัฒจันทร์ด้านล่างขึ้นไปสู่โซนบน
5 นาทีก็แล้ว… 10… 15… 20…
จนผ่านไปราว 25 นาที เมื่อฝนซาลงชัด ท่านเปา โอลิเวอร์ จึงได้เรียกนักเตะกลับลงสนาม และเป่าเริ่มเกมขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การลงเล่นในสิบนาทีที่เหลือของครึ่งแรก ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมนอกจากจังหวะหวาดเสียว ก่อนที่ครึ่งแรกจะจบไปที่ 0-0
VAR 2-0 เดนมาร์ก
ครึ่งแรก เปิดมาแว้บเดียว ชล็อตเตอร์เบ็ค โขกเปรี้ยงจมตาข่าย – เฮเก้อ – VAR จับฟาวล์
ครึ่งหลัง เปิดมาแว้บเดียว โยอาคิม อันเดอร์เซ่น ดันขึ้นไปตวัดยิงเสียบตาข่าย – เฮเก้อ – VAR จับล้ำหน้า (โธมัส เดอลานีย์ ล้ำปลายเท้าจิ๊ดเดียว)
ซวย 1 (นาทีที่ 48) โยอาคิม อันเดอร์เซ่น ยิงเข้าแล้ว ไม่ได้
ซวย 2 (นาทีที่ 52) โยอาคิม อันเดอร์เซ่น โดนจับฟาวล์ เสียจุดโทษ!
เพราะในจังหวะบอลเดินต่อเนื่องหลังยิงเข้าแล้วไม่ได้ เยอรมนี ดันเกมบุกขึ้นมา ดาวิด เราม์ พยายามเปิดเข้าใน บอลชนแขนของ โยอาคิม อันเดอร์เซ่น เข้าอย่างจัง
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ก็เป่าจุดโทษให้กับเจ้าภาพหลังเช็คภาพช้า
และ ไค ฮาแวร์ตซ์ กดเสียบเสาพาอินทรีเหล็กออกนำ 1-0
โดนทั้งขึ้นทั้งล่องแบบนี้ โยอาคิม อันเดอร์เซ่น คงอยากกังฟูคิกใส่ใครสักคน โดยเฉพาะไอ้เสื้อฟ้า!
ถึงเวลาสังคายนา
เมื่อ 1-0 ของ เยอรมนี มาในเวลาไม่นานหลังเริ่มครึ่งหลัง
แล้ว 2-0 ก็ตามมาในนาที 68 จามาล มูเซียล่า อาศัยช่องว่างแผงหลังโคนม ตามไปเก็บบอลหลุดเดี่ยวแล้วกดเข้าเสาไกล
เช่นเดียวกับว่า เดนมาร์ก ก็แสดงถึงความไร้เขี้ยวเล็บ ลูกฮึดมีไม่พอจะตามทวงคืน
จึงเป็นอันจบเท่านี้ เยอรมนี เป็นฝ่ายได้ไปต่อตามสมควร และตามที่คนทั้งประเทศส่งแรงใจให้
สำหรับ เดนมาร์ก นั้น DBU (สมาคมฟุตบอลเดนมาร์ก) ควรพิจารณาได้แล้วว่า แคสเปอร์ ฮูลมันด์ ไม่ใช่คนที่เหมาะสม
เพราะแม้ ยูโร หนก่อนจะพาไปถึงตัดเชือก แต่ต่อมา ตกรอบแรก ฟุตบอลโลก 2022 อย่างดูไม่จืด ตามด้วยตกรอบ 16 ทีม ยูโร ครั้งนี้ แบบชนะใครไม่เป็นเลยทั้งสิ้น
- 1. เปลี่ยนตัวกุนซือ
และ 2. คาดหวังว่าการ “สร้างทีมใหม่” ของใครสักคนหลังจากนี้ จะมีโชคมีดวงมากพอให้ไม่เจอภาวะสุญญากาศ
เพราะชัดเจนว่าทีมชุดนี้ เข้าข่ายที่ โธมัส กราเวอเซ่น วิจารณ์ไว้แต่แรกคือ “อยู่ในจุดเสื่อมถอย” ด้วยนักเตะหลายคนมาถึงบั้นปลายอาชีพแล้ว
- แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล 37
ซิมอน เคียร์ 35
มัทเธียส ซานก้า ยอร์เกนเซ่น 34
โธมัส เดอลานีย์ 32
คริสเตียน เอริคเซ่น 32
พวกนี้ หมดอายุการใช้งานแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องอยู่จนถึง ฟุตบอลโลก 2026
ส่วนการสร้างทีมใหม่ที่คงจะมี ราสมุส ฮอยลุนด์, มิคเคล ดัมส์การ์ด, 3 เซนเตอร์แบ็กชุดปัจจุบัน หรือ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก (28) เป็นแกนหลัก ก็คงต้องจับตาดูกันต่อว่าจะ “ขึ้น” หรือ “ลง” จากก้าวเดินของทีมยุค ฮูลมันด์
โปรดอย่าประมาท
อย่างที่ว่า เยอรมนี เป็นฝ่ายได้ไปต่อตามสมควร และตามที่คนทั้งประเทศส่งแรงใจให้
แต่ถ้าวัดเอาจากฟอร์มการเล่น การที่ เดนมาร์ก ยังมีฮึด–และเกือบจะได้ประตูนำไปด้วย แต่โดนริบจาก VAR
ก็ต้องบอกว่า เยอรมนี ห้ามประมาทกับรอบถัดไป เป็นเด็ดขาด
ทีมที่จะมาเจอกับพวกเขาในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ถ้าไม่ สเปน ที่กำลังไต่ระดับไปสู่การเป็น “ทีมแข็ง” อีกครั้ง ก็จะเป็น จอร์เจีย ดาวรุ่งพุ่งแรงที่มีเขี้ยวเล็บอยู่พอตัว
โดยเฉพาะว่าถ้าเป็นของแข็งอย่าง สเปน ก็ยิ่งหนัก
และถัดจากนั้นอีก มีสิทธิ์เจอได้ทั้ง ฝรั่งเศส หรือ โปรตุเกส
ชัยชนะเหนือ เดนมาร์ก เป็นเรื่องคาดเดาได้แต่แรกอยู่แล้ว
แต่กับการเจอ สเปน หรือ ฝรั่งเศส หรือ โปรตุเกส ในรอบถัดๆ ไป จะไม่มีการันตีชัยชนะใดทั้งสิ้น
แชมป์ยุโรปสมัย 4 ที่ใฝ่ฝัน แม้จะเข้าใกล้มากขึ้น แต่ยังเร็วเกินไปมากที่จะมั่นใจได้…
มุมแสดงทรรศนะ