บทสัมภาษณ์ “โซลชาร์” ผู้จัดการทีมคนใหม่แมนฯยู
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เปิดใจครั้งแรกหลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมจนกระทั่งจบฤดูกาลนี้ โดยเจ้าตัวยอมรับว่าการทำงานให้กับ “ปีศาจแดง” เหมือนได้กลับบ้านที่แสนอบอุ่นอีกครั้ง และตอนนี้ตั้งเป้าที่จะนำสโมสรกลับมาโชว์ฟอร์มให้ดีที่สุด และทำให้สาวก “เร้ด อาร์มี่” มีความสุขอีกครั้ง
นายใหญ่ชาวนอร์เวย์ เป็นนักเตะขวัญใจแฟนบอล “ผีแดง” มาตลอดตั้งแต่สมัยที่ยังค้าแข้งให้กับต้นสังกัด เนื่องจากเจ้าตัวไม่เคยคร่ำครวญแม้ว่าจะโดนดร็อปเป็นตัวสำรองเสมอ ที่สำคัญเขายังสวมบทซูเปอร์ซับหลายเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแมตช์แห่งความทรงจำที่สนามคัมป์ นู ซึ่งลงมายิงประตูชัยชนะ บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 1999
การได้กลับมาสู่ถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในฐานะกุนซือย่อมเป็นเรื่องที่เจ้าตัวมีความสุขมากๆ และนี่เป็นครั้งแรกที่ โซลชา เปิดใจในการให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการกับต้นสังกัด และเป้าหมายสำคัญที่จะต้องพลิกฟื้น “ผีแดง” ให้คืนฟอร์มสุดยอดอีกครั้ง หลังจากตอนนี้จมอยู่ในอันดับ 6 แถมตามหลัง ลิเวอร์พูล จ่าฝูงถึง 19 คะแนน และตำแหน่งท็อปโฟร์ 11 แต้มด้วย
โซลชา ให้สัมภาษณ์กับ “เอ็มยูทีวี” ว่าเขาต้องการคืนความสุขให้กับทีมรักอีกครั้ง “มันเยี่ยมมากๆ มันเป็นความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน นี่เป็นช่วงเวลาที่แสนวุ่นวาย มันเป็นอะไรที่ดีเยี่ยมที่ได้พบกับทุกๆ คนอีกครั้ง ในช่วงเวลา 6 เดือน ผมกำลังสนุกกับการปั่นจักรยาน ผมกลับบ้าน ได้พบกับนักเตะ, สตาฟฟ์โค้ช และแน่นอนว่าได้อยู่กับตัวเอง”
“ผมรู้ว่าสโมสรอยู่ในช่วงกระบวนการหาผู้จัดการทีมคนใหม่ และผมก็แค่อยู่กับตัวเองในช่วงเวลานั้น ทั้งตัวผมรวมทั้ง คีแรน และ ไมเคิ่ล รวมทั้งสตาฟฟ์โค้ชคนอื่นๆ เราต้องการที่จะให้นักเตะมีความสุขกับการเล่นฟุตบอล ผมตั้งตาคอยที่จะได้พบกับแฟนบอลของเราอีกครั้ง”
โชเซ่ มูรินโญ่ มักจะวิจารณ์ลูกทีมผ่านสื่อรวมทั้งการดร็อปนักเตะสำคัญบางคนอย่าง ปอล ป็อกบา ที่หลุดจาก 11 ตัวจริงในช่วงหลายๆ เกมที่ผ่านมา ขณะเดียวกันมีการเปิดเผยว่า “เฮียมู” ไม่พูดกับ ลุค ชอว์ หลังจากที่เขาบ่นเรื่องปัญหาเจ็บหลัง ในเกมที่ “ปีศาจแดง” ชนะ ฟูแล่ม เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม โซลชา ยืนยันว่านักเตะทุกคนจะได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองภายใต้การจับตามองของเขาแน่นอน “ยังมีอีกหลายเกมที่จะต้องลงเล่นซึ่งไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะคุณมีขุมกำลังชุดนี้โดยเป็นขุมกำลังที่มีนักเตะชั้นยอดที่เรามีอยู่เต็มทีม เรามีนักเตะ 23-24 คน พวกเขาเต็มไปด้วยคุณภาพ และพวกเขาจะได้รับโอกาสลงสนามในช่วงหลายๆ เกมที่จะมาถึงนี้”
“พวกเขาจะได้รับโอกาสแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสมควรเป็นนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุกๆ คนในทีมรู้ว่า -ตอนนี้ผมมีโอกาสแล้ว- เพราะหากอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ดังนั้นจากนี้ไปทุกๆ คนจะต้องเริ่มต้นใหม่หมด และเราต้องการนักเตะที่ทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อคว้าโอกาสของพวกเขา”
ตำนานกองหน้าทีมชาตินอร์เวย์ เคยมีประสบการณ์ในการคุมทีมในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ โดยการผจญภัยในครั้งนั้นบทสรุปก็คือทีมตกชั้นไปเล่นเดอะ แชมเปี้ยนชิพ อย่างไรก็ตาม เขาประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ โมลด์ ทีมในบ้านเกิด โดยคว้าแชมป์ลีก 2 สมัย
โซลชา ยืนยันว่าการได้รับการสั่งสอนจาก เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือ “ผีแดง” ทำให้เขามีความรู้มากพอที่จะรับงานนี้ “ผมคิดว่าผมผ่านการทำงานกับทีมชุดใหญ่ในฐานะผู้จัดการทีมมากกว่า 300-400 เกม และกับทีมสำรองประมาษ 10 ปี ผมเคยทำผิดพลาดบ้างในช่วงหลายๆ ปี”
“ผมเคยคว้าแชมป์ลีกมาแล้ว ผมได้แชมป์ฟุตบอลถ้วยด้วย รวมทั้งผมก็เคยทำทีมตกชั้น ดังนั้นผมรู้สึกเกี่ยวกับอาชีพนี้ ผมต้องพูดว่าผมมีครูที่เก่งมากๆ เจ้านาย (เฟอร์กี้) คือครูคนนั้น และมันเป็นเรื่องดีเสมอที่คุณมีผู้จัดการทีมที่เก่งขนาดนี้ ดังนั้นการบริหารงานของผมเกี่ยวพันกับสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากท่าน”
“เจ้านาย มักจะให้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ผมได้สไตล์การคุมทีมมาจากท่าน ท่านมีอิทธิพลอย่างมาก แต่หลังจากนี้ไปมันเป็นอะไรที่แตกต่าง ผมมีบุคลิกที่แตกต่าง ผมชอบพูดคุยกับคนอื่นๆ ผมชอบเข้าหาผู้คน ผมอยากเห็นผู้คนแสดงความรู้สึกของพวกเขาออกมา นั่นทำให้ผมมีความสุขมากๆ
การนั่งกุมบังเหียน “ผีแดง” พร้อมกับเปิดตัวพบ คาร์ดิฟฟ์ ต้นสังกัดเก่าในวันเสาร์นี้ โดย กุนซือขัดตาทัพ วัย 45 ปี ยอมรับว่าแทบรอไม่ไหวที่จะทำงานให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด “มันเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ มันเป็นเรื่องดีที่จะควบคุมอารมณ์ ดังนั้นผมจะไม่แสดงอารมณ์อะไรทั้งนั้น”
“แต่เมื่อผมกลับไปที่คาร์ดิฟฟ์ เมื่อ 2-3 ปีก่อนประมาณปี 2014 มันเป็นอะไรที่แปลกๆ แบบว่าความรู้สึกแปลกๆ มันเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่ผมเคยเจอสำหรับการคุมทีมอื่น ตอนนี้ผมอยู่กับทีมที่ถูกต้องแล้ว และผมแทบรอไม่ไหวจริงๆ”
การได้ทำงานร่วมกับ ไมค์ ฟีแลน ที่เคยเป็นมือขวาของ เซอร์เฟอร์กี้ เป็นอะไรที่ดีเยี่ยมมากๆ โดย โซลชา กล่าวว่า “การแต่งตั้งเขาเป็นเรื่องแรกที่ผมคิดได้ทันที ผมยังหนุ่ม คีแรน กับ ไมเคิ่ล ก็ยังหนุ่ม ผมโทรหาเขา และเขาเป็นโค้ชที่เบิร์นลี่ย์ตอนที่ผมโทรไปหาเขา เขาเป็นคนที่นิ่งมากๆ เขารู้เรื่องฟุตบอลเป็นอย่างดี เขาเก่งมากๆ”
สำหรับการได้ทำงานกับ ไมเคิ่ล คาร์ริค ที่หันมาทำงานโค้ชหลังจากแขวนสตั๊ด “ตอนที่เขาเซ็นสัญญาผมได้เล่นร่วมกับเขา 1 ฤดูกาล ผมได้เห็นวิวัฒนาการ และการพัฒนาของไมเคิ่ล เขาเป็นนักเตะชั้นยอดของเรา และเติมตำแหน่งของ รอย คีน นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ผมโทรไปหาเขา 2-3 ครั้ง และเขาสุดยอดจริงๆ ผมแทบรอทำงานร่วมกับเขา”
ที่สำคัญ โซลชา ยืนยันว่าพร้อมให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งเสมอ “การเป็นผู้จัดการทีมในนอร์เวย์ ผมพยายามยืนตัวนักเตะของ นิคกี้ บัตต์ (โค้ชทีมเยาวชนแมนยู) มาเล่นให้ โมลด์ ส่วน คีแรน แม็คเคนน่า ก็ทำงานได้ดีเยี่ยมกับนักเตะรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี เขาเก่งมากๆ เขาจะคอยประสานงานระหว่างนักเตะศูนย์เยาวชนกับทีมชุดใหญ่ นั่นเป็นสิ่งสำคัญมากๆ”
วัฒนธรรมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสิ่งสำคัญมากๆ โดย อดีตหัวหอกเจ้าของฉายา “เพชฌฆาตหน้าทารก” ให้ความเห็นว่า “แม็ตต์ บัสบี้ เคยกล่าวเอาไว้ว่า อายุไม่สำคัญเพราะถ้าคุณเก่งพอคุณก็แก่พอที่จะได้รับโอกาส และผมต้องการรักษาวัฒนธรรมแบบนี้เอาไว้ ผมได้ดูเกมกับ เชลซี ผมประทับใจจริงๆ”
นอกจากนี้ กุนซือเลือดนอร์เวย์ ยังได้กล่าวชื่นชม ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูทีมชาติสเปน ว่า “ผมมีผู้รักษาประตูที่เก่งที่สุดในโลก เขาอยู่กับทีมมา 8 ปีแล้ว และเขายังเป็นนายทวารคนหนุ่มที่สามารถพัฒนาได้เรื่อยๆ มันน่าเหลือเชื่อสำหรับผมที่ได้เข้ามาคุมทีม และมีเขาอยู่ในทีม บางทีผมคงต้องทำบางสิ่งตอนที่จบการฝึกซ้อมเพื่อควบคุมเขา !”
สำหรับ เจสซี่ ลินการ์ด นั้น อดีตแข้งชื่อเหมือนลูกอม เผยว่า “ผมให้เขาลงเล่นเปิดตัวเกมสำรองเยือนเบิร์นลี่ย์ ภายในเวลา 2 นาทีเจ้าหนูตัวเล็กๆ กล้าเข้าปะทะแบบ 50-50 กับเซนเตอร์แบ็กตัวใหญ่ และเจ้าเด็กน้อยคนนั้นยังกล้าต่อล้อต่อเถียงเขาซะด้วย ผมคิดว่า -นายได้รับโอกาสแน่ !- เขาแสดงให้ผมเห็นว่าเขามีของจริงๆ”
ในส่วนของ มาร์คัส แรชฟอร์ด เรื่องนี้ โซลชา เผยว่า “ผมเคยดูเขาเล่นตอนที่เขายังเป็นนักเตะดาวรุ่่ง เขาอายุน้อยมากๆ ผมเฝ้าติดตามเขาอย่างใกล้ชิด และมันเยี่ยมมากๆ ที่ได้เห็นเขาอยู่กับทีมตอนนี้ ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับนักเตะทุกคนในวันนี้ ดูเหมือนว่าทุกๆ คนยอดเยี่ยมมากๆ มีความเป็นมืออาชีพ อยากที่จะได้ทำผลงานให้ดีที่สุด และต้องการเรียนรู้ ผมได้คุยกับ ไมเคิ่ล และ คีแรน เกี่ยวกับนักเตะทุกคน ผมคงต้องใช้เวลาในการรู้จักพวกเขา”
นอกจากภารกิจในเกมพรีเมียร์ลีกแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องดวลกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย โดย โซลชา กล่าวว่า “ผมได้ดูการจับสลากเมื่อวันจันทร์โดยไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เปแอสเชมีโอกาสดีเยี่ยม ผมแทบรอไม่ไหวแล้ว แต่ผมอยากสร้างรากฐานในการเล่นให้แข็งแกร่ง แน่นอนเราแทบรอไม่ไหวแล้ว”
ย้อนความหลังในวันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในอาชีพพ่อค้าแข้งเมื่อเป็นหนึ่งในขุนพลแมนฯ ยูไนเต็ด คว้าทริปเบิ้ลแชมเปี้ยนส เมื่อปี 1999 รวมทั้งการซัดประตูชัยช่วงทดเวลาบาดเจ็บนำ “ผีแดง” ชนะ บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่สนามคัมป์ นู “มันเป็นค่ำคืนที่แสนวิเศษ ตอนนี้ผ่านมา 20 ปีแล้ว เวลามันหมุนเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ใช่แค่สโมสรเท่านั้นแต่ยังเป็นเหมือนครอบครัว โดย โซลชา ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “สิ่งแรกที่ผมสังเกตเห็นก็คือนี่เป็นสโมสรครอบครัว ทุกๆ คนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก จากนั้นผมก็สังเกตเห็นถึงหัวใจแห่งผู้ชนะ การเล่นฟุตบอลเกมบุก การให้โอกาสดาวรุ่ง และการคว้าแชมป์ นี่คือสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีแฟนบอลที่สุดยอดที่สุดในโลก และมีนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก”
แน่นอนว่าภารกิจอีกเรื่องที่สำคัญมากๆ ที่ โซลชา ต้องทำก็คือการเรียกความภาคภูมิใจของทีมกลับคืนมา “ตอนที่ผมยิงประตูในเกมเปิดตัว เอริก (คันโตน่า) ก็อยู่กับทีม และมันเป็นความรู้สึกที่ดีเยี่ยมมากๆ คุณรู้สึกสบายใจที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และคุณอยากให้นักเตะทุกคนรู้สึกว่าที่นี่เหมือนบ้านหลังที่สอง นักเตะต้องภูมิใจฟอร์มการเล่นของพวกเขา และแฟนบอลก็ต้องภูมิใจในทีมของพวกเขา ผมภูมิใจในอาชีพของผมตอนที่เป็นนักเตะ ผมเช้าใจสโมสรแห่งนี้ ผมรู้จักสโมสรดี การได้นั่งเก้าอี้กุนซือเป็นเรื่องที่สุดพิเศษมากๆ”
ตบท้ายนี้ โซลชา ยืนยันกับบรรดาสาวก “เร้ด อาร์มี่” ว่าจะทำให้แมนฯ ยูฯ กลับมาเป็นทีมที่เล่นสนุกเร้าใจอีกครั้ง “มันดีเยี่ยมมากๆ ที่ได้กลับบ้าน ผมสัญญาว่าผมจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีเพื่อทำให้สโมสรแห่งนี้กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง ผมแทบรอที่จะทำงานไม่ไหวแล้ว”
มุมแสดงทรรศนะ