ประเด็นหลังเกมส์! เสือใต้ ทุบ ปารีส ผงาดแชมป์UCL สุดยิ่งใหญ่
ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019/20 รอบชิงชนะเลิศ
วันแข่งขัน : คืนวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม
ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 0-1 บาเยิร์น มิวนิค
สนาม : เอสตาดิโอน ดา ลุซ
1. บอลระบบ ปะทะ บอลซุเปอร์สตาร์
เกมนี้มีสิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนตลอด 90 นาที นั่นก็คือระบบการเล่นของทั้งสองทีมที่มีจุดเด่นคนละรูปแบบแต่ก็สามารถสู้กันได้อย่างสมศักดิ์ศรี โดยฝั่ง บาเยิร์น แม้จะมีนักเตะชื่อชั้นระดับโลกอยู่ในทีมมากมาย แต่พวกเขาเน้นการเล่นแบบเป็นระบบ ไม่มีใครเป็นศูนย์กลางของทีม ทุกคนช่วยกันเล่นตามแผนที่วางเอาไว้
ส่วนทางด้าน ปารีส พวกเขามี 2 สตาร์ดังแห่งยุคอย่าง เนย์มาร์ และ คิเลียน เอ็มบัปเป้ เป็น 2 แกนหลังของทีม แน่นอนว่าเรื่องฝีเท้าคงไม่มีใครตั้งคำถามกับทั้งคู่อีกแล้ว แต่สิ่งที่แตกต่างในเกมนี้คือ เมื่อทั้งสองคนไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ตามที่คาดหวัง ทีมก็แทบไม่มีทีเด็ดอื่นๆ ในการจะมาพลิกสถานการณ์
ต่างกับ เสือใต้ ที่ไม่ว่าจะส่งใครลงมาเล่นในระบบที่ ฮันส์ ดีเทอร์ ฟลิค วางเอาไว้ ความน่ากลัวของพวกเขาก็แทบจะไม่ลดน้อยลงกว่าเดิมเลยตลอด 90 นาที
2. ปีนี้ เสือใต้ นอนมา
11 นัดรวด คือจำนวนเกมที่ พลพรรคเสือใต้ ถล่มอัดคู่แข่งคว้าชัยมาได้ตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ในฤดูกาลนี้ ซึ่งกลายเป็นสถิติใหม่ของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่มีทีมที่สามารถเอาชนะได้ถึง 11 นัดติดต่อกันตั้งแต่เริ่มนัดแรกจนคว้าแชมป์มาครองได้
แถมทุกเกมพวกเขายังถล่มคู่แข่งชนิดที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน นกจากนั้นยังยิงประตูได้ถล่มทลาย โดยเฉพาะในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ บาร์เซโลนา ที่อัดไปเละเทะยับเยินถึง 8-2 จนทำให้ บาร์ซ่า ต้องทำการสังคายนาเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่เลยทีเดียว
3. เนย์มาร์ ยังต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป
หนึ่งในไฮไลท์ก่อนเกมในวันนี้คือการที่หลายคนจับตามองมาที่ เนย์มาร์ จูเนียร์ ซุเปอร์สตาร์ค่าตัวแพงที่สุดในโลก ว่าจะสามารถพิสูจน์ตัวเองว่าเขาจะสามารถแบกทีมและก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับหัวแถวของโลกเหมือนที่ เมสซี และ โรนัลโด้ แสดงให้เห็นจนเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่
ซึ่งต้องบอกว่าผลงานในเกมนี้ของเขาอาจจะน่าผิดหวังเล็ก ๆ สำหรับยอดแข้งชาวบราซิล ที่ไม่สามารถงัดฟอร์มเทพพาทีมขึ้นสู่จุดสูงสุดตามที่หลายคนคาดหวังได้ แน่นอนว่าเรื่องฝีเท้ามันค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วว่าเจ้าตัวไม่ธรรมดา แต่การย้ายมาเล่นให้กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง นั่นก็เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาก็สามารถขึ้นเป็นเบอร์ 1 ได้ น่าเสียดายที่ในข้อนี้เจ้าตัวยังคงต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป
4. สถิติหลังเกม
บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นสมัยที่ 6 มากที่สุดเป็นอันดับ 3 เทียบเท่ากับ ลิเวอร์พูล โดยเป็นรองเพียง เอซี มิลาน (7 สมัย) และ เรอัล มาดริด (13 สมัย) เท่านั้น
– เกมนี้เป็นนัดแรกจาก 35 เกมหลังสุดในฟุตบอลยุโรปที่ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยิ่งประตูคู่แข่งไม่ได้ ซึ่งนัดล่าสุดที่พวกเขาจบด้วยเกมศูนย์ต้องย้อนกลับไปในปี 2016 ที่พ่ายให้กับ แมนฯ ซิตี้ 0-1
– บาเยิร์น เป็นทีมแรกที่ทำสถิติเอาชนะคู่แข่งใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ทุกเกมตั้งแต่นัดแรกจนสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ นอกจากนี้พวกเขายังทำสถิติชนะติดต่อกันถึง 11 นัดเป็นทีมแรกในประประวัติศาสตร์ถ้วยใบนี้อีกด้วย
– 7 ครั้งหลังสุดที่มีสโมสรที่เคยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการนี้เป็นครั้งแรกนั้น ไม่มีทีมที่เคยเข้ามาปีแรกคว้าแชมป์ได้เลยนับตั้งแต่ปี 1997 ที่ ดอร์ทมุนด์ ทำได้เป็นทีมล่าสุด
– ฮันส์ ดีเทอร์ ฟลิค เป็นกุนซือที่อายุมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ที่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้ รองจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน 66 ปี (แมนฯ ยูไนเต็ด) จุ๊ปป์ ไฮย์เกส 68 ปี (บาเยิร์น มิวนิค) และ เรย์มอนด์ โกธัลส์ 71 (มาร์กเซย)
– เสือใต้ เป็นทีมที่ 3 ในประวัติศาสตร์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ยิงประตูในรายการนี้ได้ถึง 500 ลูก ต่อจาก บาร์เซโลนา (517 ประตู) และ เรอัล มาดริด (567 ประตู)
– คิงสลีย์ โกม็อง เป็นนักเตะฝรั่งเศสคนที่ 5 ที่สามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศรายการนี้ได้ต่อจาก เบนเซมา (2018) ซีดาน (2002) เดอไซญี (1994) และ โบลี (1993)
– เคย์เลอร์ นาบาส เป็นผู้รักษาประตูคนที่ 3 ที่เคยลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศรายการนี้ให้กับ 2 สโมสร ต่อจาก ฮัน จอร์ก บุตต์ (บาเยิร์น-เลเวอร์คูเซน) และ เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ (อาร์แจ็กซ์-แมนฯ ยูไนเต็ด)
– ติอาโก้ ซิลวา เป็นนักเตะบราซิลคนแรกที่ลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฐานะกัปตันทีม
มุมแสดงทรรศนะ